ศาสนาในประเทศไทยที่รัฐบาลให้การอุปถัมภ์ดูแล มีทั้งสิ้น 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ
ที่สำคัญ ๆ 5 ประการ คือ
1. ศาสดา หมายถึง ผู้ที่ค้นพบศาสนาและเผยแผ่คำสั่งสอนหรือหลักธรรมของศาสนา


ศาสดาของศาสนาพุทธ ศาสดาของศาสนาคริสต์
2. ศาสนธรรม หรือหลักธรรมของศาสนา เป็นคำสั่งสอนของแต่ละศาสนา
3. ศาสนิกชน หมายถึง บุคคลและปวงชนที่ให้การยอมรับนับถือในคำสั่งสอนของศาสนา
นั้น ๆ
4. ศาสนาสถาน หมายถึง สถานที่อยู่อาศัยของนักบวชใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา รวมถึงการเป็นที่ที่ให้ศาสนิกชนไปปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา
5. ศาสนพิธี หมายถึง พิธีทางศาสนาต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นจากศาสดาโดยตรงหรือจาก
การคิดค้นของผู้ปฏิบัติ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความต้องการขจัดความไม่รู้ ความกลัว
ความอัตคัด สนองความต้องการในสิ่งที่ตนขาดแคลน จึงจำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ของ
การศึกษาค้นคว้าปฏิบัติตามหลักของศาสนา
ประเทศไทยมีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติและมีผู้นับถือจำนวนมากที่สุดในประเทศ
รองลงมา คือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนาฮินดู การศึกษาความเป็นมาของศาสนา
ดังกล่าวในประเทศไทยมีความสำคัญและจำเป็น เพราะทำให้เกิดความเข้าใจในศาสนาที่ตนนับถือและ
เพื่อร่วมศาสนาอื่น ๆ ในประเทศ อันจะส่งผลให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
เรื่องที่ 1.1 ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทย
ศาสดาผู้ที่ค้นพบศาสนาและเผยแผ่คำสั่งสอนหรือหลักธรรมของศาสนาพุทธ คือ
พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและ
พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสด์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงศ์ สกุลโคตมะ
พระองค์ประสูติในวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน
ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบัน คือ ตำบลรุมมินเด
ประเทศเนปาล) ทั้งนี้ เป็นเพราะธรรมเนียมที่สตรีจะต้องไปคลอดบุตรที่บ้านบิดามารดาของตนพระนาง-
สิริมหามายา จึงต้องเดินทางไปกรุงเทวทหะ
หลังจากประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์
ผู้เรียนไตรเพท จำนวน 108 คน เพื่อมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร พระประยูรญาติได้
พร้อมใจกันถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" มีความหมายว่า "ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่ตนตั้งใจจะทำ" ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์
ทั้งหมดได้ 8 คน เพื่อทำนายพระราชกุมาร พราหมณ์ 7 คนแรก ต่างก็ทำนายไว้ 2 ประการ คือ
"ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวช
เป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก" ส่วนโกณทัญญะพราหมณ์ผู้มี
อายุน้อยกว่าทุกคนได้ทำนายเพียงอย่างเดียวว่า “พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวช
เป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่กิเลสในโลก" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ
ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดี-
โคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะ
ทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่
ขจรไกลไปยังแคว้นต่าง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญ
จนหมดความสามารถของพระอาจารย์
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาส เป็น
พระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญแวดล้อมด้วยความบันเทิง
นานาประการแก่พระราชโอรส เพื่อผูกพระทัยให้มั่งคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้
16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่า พระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรสจึงโปรดให้
สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตาม
ฤดูกาลทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว จากนั้นทรงสู่ขอพระนางพิมพายโสธรา พระราชธิดาของ
พระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงศ์ ให้อภิเษกด้วยเจ้าชายสิทธัตถะ
ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดี-
โคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะ
ทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่
ขจรไกลไปยังแคว้นต่าง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญ
จนหมดความสามารถของพระอาจารย์
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาส เป็น
พระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญแวดล้อมด้วยความบันเทิง
นานาประการแก่พระราชโอรส เพื่อผูกพระทัยให้มั่งคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้
16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่า พระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรสจึงโปรดให้
สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตาม
ฤดูกาลทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว จากนั้นทรงสู่ขอพระนางพิมพายโสธรา พระราชธิดาของ
พระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงศ์ ให้อภิเษกด้วยเจ้าชายสิทธัตถะ
ได้เสวยสุขสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพายโสธรา จึงประสูติพระโอรส พระองค์ มีพระราชหฤทัยสเน่ห์หาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรสพระองค์ตรัสว่า “ราหุลชาโตพันธนาชาต” แปลว่า “บ่วงเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว”
ถึงแม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น