วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เรื่องที่ 1.1 ศาสนาพุทธในประเทศไทย

1.1 ศาสนาพุทธในประเทศไทย 

         ประวัติศาสดาผู้ที่ค้นพบศาสนาและเผยแผ่คำสั่งสอนหรือหลักธรรมของศาสนาพุทธ คือ พระพุทธเจ้า 
         พระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและ พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสด์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงศ์ สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติในวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบัน คือ ตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล) ทั้งนี้ เป็นเพราะธรรมเนียมที่สตรีจะต้องไปคลอดบุตรที่บ้านบิดามารดาของตนพระนาง- สิริมหามายา จึงต้องเดินทางไปกรุงเทวทหะ
         หลังจากประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์ ผู้เรียนไตรเพท จำนวน 108 คน เพื่อมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร พระประยูรญาติได้ พร้อมใจกันถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" มีความหมายว่า "ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตนตั้งใจจะทำ" ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์ ทั้งหมดได้ 8 คน เพื่อทำนายพระราชกุมาร พราหมณ์ 7 คนแรก ต่างก็ทำนายไว้ 2 ประการ คือ "ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก" ส่วนโกณทัญญะพราหมณ์ผู้มี อายุน้อยกว่าทุกคนได้ทำนายเพียงอย่างเดียวว่า “พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวช เป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่กิเลสในโลก" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดี- โคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะ ทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่ ขจรไกลไปยังแคว้นต่าง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญ จนหมดความสามารถของพระอาจารย์
          ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรง ครองเพศฆราวาส เป็นพระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญแวดล้อมด้วยความบันเทิง นานาประการแก่พระราชโอรส เพื่อผูกพระทัยให้มั่งคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้ 16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่า พระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรสจึงโปรดให้ สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตาม ฤดูกาลทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว จากนั้นทรงสู่ขอพระนางพิมพายโสธรา พระราชธิดาของ พระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงศ์ ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสวยสุขสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพายโสธรา จึงประสูติพระโอรส พระองค์มี พระราชหฤทัยสิเน่หาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรส พระองค์ตรัสว่า “ราหุลชาโตพันธนาชาต” แปลว่า “บ่วงเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว”
           ถึงแม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิต คฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมีพระทัยฝักใฝ่ใคร่ครวญถึงสัจธรรมที่จะเป็นเครื่องนำทางซึ่งความพ้นทุกข์ อยู่เสมอ พระองค์ได้เคยเสด็จประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์จึงสังเวชพระทัยในชีวิตและพอพระทัยในเพศบรรพชิต มีพระทัยแน่วแน่ที่จะ ทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรม อันเป็นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสาร ไม่กลับมาเวียนว่าย ตายเกิดอีก พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ พร้อมด้วยนายฉันนะ มุ่งสู่แม่น้ำอโนมานที แคว้นมัลละ รวมระยะทาง 30 โยชน์ (ประมาณ 480 กิโลเมตร) เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำ- อโนมานที แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และทรงมอบหมายให้นายฉันนะ นำเครื่องอาภรณ์และ ม้ากัณฐกะกลับนครกบิลพัสดุ์           
          การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะ ได้ทรงศึกษาในสำนักอาฬาร- ดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ได้ทรงประพฤติ พรหมจรรย์ในสำนักของอาฬารดาบสกาลามโคตร ทรงได้สมาบัติ คือ ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญ- จายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน ส่วนการประพฤติพรหมจรรย์ใน สำนักอุทกดาบสรามบุตร นั้น ทรงได้สมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน สำหรับฌานที่ 1 คือ ปฐมฌาน นั้น พระองค์ทรงได้ขณะกำลังประทับขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานอยู่ใต้ต้นหว้า เนื่องในพระราชพิธีวัปปมงคล (แรกนาขวัญ) เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เมื่อสำเร็จการศึกษาจากทั้งสอง สำนักนี้แล้ว พระองค์ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นทุกข์บรรลุพระโพธิญาณตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จึง ทรงลาอาจารย์ทั้งสองเสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
         เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแทนการศึกษา เล่าเรียนในสำนักอาจารย์ ณ ทิวเขาดงคสิริ ใกล้ลุ่มแม่น้ำเนรัญชรา นั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา คือ การบำเพ็ญอย่างยิ่งยวดในลักษณะต่าง ๆ เช่น การอดพระกระยาหาร การทรมาน พระวรกาย โดยการกลั้นพระอัสสาสะ พระปัสสาสะ (ลมหายใจ) การกดพระทนต์ การกดพระตาลุ (เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) เป็นต้น พระมหาบุรุษได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลาถึง 6 ปี ก็ยังมิได้ ค้นพบสัจธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์จึงทรงเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วกลับมาเสวย พระกระยาหาร เพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรงในการคิดค้นวิธีใหม่ในขณะที่พระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา นั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ พราหมณ์ทั้ง 5 คน ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหามานะ และอัสสชิ เป็นผู้คอยปฏิบัติรับใช้ด้วยหวังว่า พระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วพวกตนจะได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้บ้าง และเมื่อพระมหาบุรุษเลิกล้มการบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ก็ได้ชวนกันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นครพาราณสี เป็นผลให้พระองค์ได้ประทับอยู่ตามลำพังในที่อันสงบเงียบปราศจากสิ่งรบกวนทั้งปวง พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติดำเนินทางสายกลาง คือการปฏิบัติในความพอเหมาะพอควร นั่นเอง
            พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เวลารุ่งอรุณในวันเพ็ญ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช  นางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาส เพื่อไปบวงสรวงเทวดาครั้นเห็นพระมหาบุรุษประทับที่โคนต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) ด้วยอาการอันสงบ นางคิดว่าเป็นเทวดาจึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสู่ท่าสุปดิษฐ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรงจับถาดทองคำขึ้นมาอธิษฐานว่า“ถ้าเราจักสามารถตรัสรู้ได้ในวันนี้ก็ขอให้ถาดทองคำใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไปไกลถึง 80 ศอก จึงจมลงตรงที่กระแสน้ำวน” ในเวลาเย็นพระองค์เสด็จกลับมายังต้นโพธิ์ที่ประทับ คนหาบหญ้า ชื่อ โสตถิยะได้ถวายปูลาดที่ประทับ ณ ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า “แม้ว่าเลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุธรรมวิเศษแล้วจะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด” เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงสำรวมจิตให้สงบแน่วแน่ มีพระสติตั้งมั่น มีพระวรกายอันสงบ มีพระหทัยแน่วแน่ เป็นสมาธิบริสุทธิ์

ผุดผ่อง ปราศจากกิเลส ปราศจากความเศร้าหมอง มีความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ในวันเดียวกัน คือ วันเพ็ญ เดือน 6 เรียกว่า
วัน “วิสาขบูชา”

การเผยแผ่พุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทย
พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ. 270 หลังจากพระพุทธเจ้า
เสด็จปรินิพพาน พระเจ้าอโศกมหาราช สถาปนาศาสนาพุทธเป็นปึกแผ่น และส่งพระเถระไปเผยแผ่
พระพุทธศาสนายังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย พระเถระที่เข้ามามี 2 รูป คือ พระโสณเถระ
และพระอุตตระเถระ ซึ่งเป็นนิกายเถรวาท ขณะนั้นไทยอยู่บนดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ มีขอบเขต
ประเทศที่รวมกัน คือ ไทย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และสันนิษฐานว่าใจกลางอยู่ที่
จังหวัดนครปฐม มีหลักฐาน คือ พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบ สมัยนี้เรียกว่า
สมัยทวารวดี

  • ต่อมาสมัยอาณาจักรอ้ายลาว ศาสนาพุทธนิกายมหายาน เผยแผ่มายังอาณาจักรนี้เพราะ

พระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีน ทรงรับพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในประเทศจีน และส่งฑูตมาเจริญ
สัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอ้ายลาว จึงทำให้ไทยนับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน เป็นครั้งแรกแทน
การนับถือเทวดาแบบดั้งเดิม


  • ในพุทธศตวรรษที่ 13 พ.ศ. 1300 สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ในเกาะสุมาตราได้เจริญรุ่งเรือง

และนำพระพุทธศาสนาแบบมหายานเข้ามาเผยแผ่ดังมีหลักฐานที่ปรากฏอยู่ คือ พระบรมธาตุไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช

  • ในพุทธศตวรรษที่ 15 พ.ศ. 1500 อาณาจักรลพบุรีเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันอาณาจักรขอม

ก็เจริญรุ่งเรืองด้วย ในสมัยราชวงศ์สุริยวรมันเรืองอำนาจ พระองค์รับเอาพุทธศาสนาแบบมหายาน
ผสมผสานกับศาสนาพราหมณ์ และทรงสร้างศาสนาสถานเป็นพระปรางค์และปราสาท อาณาจักรลพบุรี
ของไทยรับอิทธิพลนี้มาด้วยมีภาษาสันสกฤต เป็นภาษาหลักของศาสนาพราหมณ์เข้ามามีอิทธิพลใน
ภาษาไทย วรรณคดีไทย จะเห็นสิ่งก่อสร้าง คือ พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทหินพิมาย
ที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนพระพุทธรูปได้รับอิทธิพลของขอม
เช่น ศิลปะแบบขอม

  • พุทธศตวรรษที่ 16 พ.ศ. 1600 อาณาจักรพุกาม ประเทศพม่า เจริญรุ่งเรือง กษัตริย์ผู้ปกครอง

ชื่อพระเจ้าอนุรุทธิ์มหาราช กษัตริย์พุกามเรืองอำนาจ ทรงรวบรวมเอาพม่ากับมอญเข้าเป็นอาณาจักร
เดียวกัน และแผ่ขยายอาณาจักรถึงล้านนา ล้านช้าง คือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย จึงรับพระพุทธศาสนา
แบบเถรวาท หลักฐานที่ปรากฏ คือ การก่อสร้างเจดีย์แบบพม่า ซึ่งปรากฏอยู่ตามวัดต่าง ๆ
สมัยสุโขทัย เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมีอาณาจักรของไทย คือ อาณาจักรล้านนาและ
อาณาจักรสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา ซึ่งเผยแผ่ศาสนา
อยู่ที่นครศรีธรรมราช จึงนิมนต์มาที่สุโขทัย นับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาดำรงมั่นคงมาใน
ประเทศไทยสืบมาจนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยถึง 2 ครั้ง
คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัยที่ 2 คือ สมัยพระยาลิไท กษัตริย์ทุกพระองค์
ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบร่มเย็น ประชาชนอยู่ด้วยความผาสุก ศิลปะสุโขทัย มีความงดงาม
โดยเฉพาะพระพุทธรูป ไม่มีศิลปะสมัยใดงามเสมือน

  • สมัยล้านนา พ.ศ. 1839 พระยามังราย ทรงสร้างราชธานีชื่อ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่

ตั้งถิ่นฐานที่ลุ่มแม่น้ำปิง สนับสนุนให้พุทธศาสนารุ่งเรืองในเมืองเชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน
พะเยา ในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
สมัยกรุงศรีอยุธยา พุทธศาสนาสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เป็นอันมาก
พิธีกรรมต่าง ๆ จึงปะปนกับพิธีพราหมณ์ ประชาชนทำบุญกุศลสร้างวัดบำรุงศาสนา พระมหากษัตริย์ที่
ทรงผนวช คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และทรงริเริ่มให้เจ้านายและข้าราชการบวชเรียน ทรงรจนา
หนังสือมหาชาติคำหลวงขึ้นในปี พ.ศ. 2025 และในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ได้พบรอยพระพุทธบาท
ที่จังหวัดสระบุรี จึงโปรดให้สร้างมณฑป วรรณคดีในสมัยนี้ ได้แก่ กาพย์มหาชาติ ในสมัยพระเจ้าอยู่หัว-
บรมโกษฐ์ พ.ศ. 2275 - 2300 พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมาก พระเจ้าแผ่นดินของลังกา มีพระราชสาสน์
มาทูลเชิญพระภิกษุสงฆ์ไปเผยแผ่ศาสนาที่ลังกา เพราะศาสนาพุทธที่เรียกว่า ลังกาวงศ์ นั้น เสื่อมลง
ไทยจึงส่งพระอุบาลีไปประกาศศาสนาและเผยแผ่ศาสนาจนรุ่งเรืองอีกครั้ง และเรียกศาสนาพุทธ
ในครั้งนี้ว่า นิกายสยามวงศ์
สมัยกรุงธนบุรี ปีพ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาถูกพม่ายกทัพเข้าตีจนบ้านเมืองแตกยับเยิน วัดวา-
อารามถูกทำลายย่อยยับ พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นผู้นำในการกอบกู้อิสรภาพ ทรงตั้งเมืองหลวงที่
กรุงธนบุรี และทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและสร้างวัดเพิ่มเติมอีกมากและได้อัญเชิญพระแก้วมรกต
จากเวียงจันทน์มายังประเทศไทย

  • สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

(พ.ศ. 2325 - 2352) พระองค์ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพมหานคร และทรงปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ คือ
การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
และโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 และถือเป็นครั้งที่ 2 ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน
รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. 2352 - 2367) ทรงบูรณะวัดอรุณ-
ราชวราราม วัดสุทัศนเทพวราราม และฟื้นฟูประเพณีวิสาขบูชา
รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367 - 2394) ทรงสร้าง 3 วัด คือ
วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดเทพธิดารามวรวิหาร และวัดราชนัดดารามวรวิหาร และทรงบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัด
มีจำนวนมากถึง 50 วัด พระองค์เชิดชูกำเนิดธรรมยุติกนิกาย ในปี พ.ศ. 2376 เนื่องจากพระองค์
เลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ซึ่งเป็นรูปแบบนิกายธรรมยุต มีวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็น
ศูนย์กลาง ทรงสร้างพระไตรปิฎกเป็นจำนวนมากยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394 - 2411) ทรงสร้าง
พระไตรปิฎก ปฏิสังขรณ์วัด กำเนิดการบำเพ็ญกุศลพิธีมาฆบูชา เป็นครั้งแรกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
และส่งสมณฑูตไปลังกา

  • สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 - 2453) ทรงสร้าง

พระไตรปิฎกแปลจากอักษรขอมเป็นอักษรไทย ปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ ทรงตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
และสถาปนาการศึกษาสำหรับพระสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และมหา-
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่วัดมหาธาตุ
สมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2453 - 2468) ทรงประกาศใช้
พุทธศักราชทางราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2456 เป็นต้นมา ทรงสร้างโรงเรียนและบูรณะวัดต่าง ๆ
ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร และเทศนาเสือป่า
สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2468 - 2477) ทรงพิมพ์ระไตรปิฎก
เรียกว่า "พระไตรปิฎกสยามรัฐ" มีตราช้างเป็นเครื่องหมายเผยแพร่ ทรงประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนา
สำหรับเด็ก ทรงเพิ่มหลักสูตรจริยศึกษา (อบรมให้มีศีลธรรมดีงามขึ้น) แต่เดิมมีเพียงหลักสูตรพุทธิศึกษา
(ให้มีปัญญาความรู้) และพลศึกษา (ฝึกหัดให้เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์)

  • สมัยรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (พ.ศ. 2477 - 2489) มีการแปล

พระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ทรงตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เลิกการปกครองสงฆ์แบบ
มหาเถรสมาคมที่ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

  • สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. 2489 - 2559) มีการ

จัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษในปี พ.ศ. 2500 มีการสร้างพุทธมณฑลไว้ที่ตำบล ศาลายา จังหวัดนครปฐม
มีการส่งพระสงฆ์ไปเผยแผ่ศาสนาพุทธในต่างประเทศ เสด็จออกผนวชที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และ
มีโรงเรียนพุทธศาสนาในวันอาทิตย์






       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น