1.2 ศาสนาอิสลามในประเทศไทย
ประวัติศาสดา
ศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ ท่านนบีมุฮัมมัด เป็นบุตรของอับดุลลอห์แห่งอารเบีย
ท่านได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาสน์ของอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดานบีมุฮัมมัด เกิดที่มหานครมักกะห์ (เมกกะ) ตรงกับวันจันทร์ที่ 17 (บ้างก็ว่า 12)
เดือน รอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ค.ศ. 570 (พ.ศ. 1113) ในตอนแรกเกิดกายของมุฮัมมัด มีรัศมีสว่างไสวและ
มีกลิ่นหอมเป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อุปราชอับรอฮะห์ แห่ง
อาณาจักรอักซุม (เอธิโอเปียปัจจุบัน) กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะฮ์ เพื่อทำลายกะอ์บะฮ์
อันศักดิ์สิทธิ์ แต่อัลลอฮ์ได้ทรงพิทักษ์มักกะฮ์ด้วยการส่งกองทัพนกที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งบนกองทัพนี้
จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุดุจเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน อุปราชอับรอฮะห์
จึงต้องถอยทัพกลับไปและเสียชีวิตไปในที่สุด
ในปีเดียวกันนั้นมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้พระราชวังอะนูชิรวานของ
จักรพรรดิเปอร์เชียสั่นสะเทือนถึงรากเหง้าและพังทลายลง ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของ
พวกโซโรอัสเตอร์ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไปด้วย
เมื่อมูฮัมมัดมี อายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรมและความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหู
ของเคาะดีญะฮ์ บินติคุวัยลิค เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้
ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรีย ในฐานะหัวหน้ากองคาราวานปรากฏผลว่า การค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจในความสามารถและความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูลอัน เป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือประกอบแต่กุศลกรรมปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับวิวรณ์จากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าในถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง
นอกเมืองมักกะฮ์ โดยทูตสวรรค์ญิบรีล เป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรกเรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็น
ผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮ์ ดั่งที่ศาสดามูซา (โมเสส) อีซา (เยซู) เคยทำมา นั่นคือ ประกาศให้มวล
มนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการ
เหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่ม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน
ในตอนแรกท่านเผยแผ่ศาสนาแก่วงศ์ญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นภายในก่อน ท่านค็อดีญะห์เองได้
สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่านอบูฎอลิบก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต
ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแผ่ศาสนาโดยเปิดเผย ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูล
เดียวกันชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่านพากันโกรธแค้นตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่าง
รุนแรงถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับ
ผู้ใดจนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีเงินที่จะซื้ออาหาร อบูซุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะห์
และอบูญะฮัล คือ สองในจำนวนหัวหน้ามุชริกูนที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม
เมื่อชาวมุชริกูนเอาชนะรัฐอิสลามไม่ได้ ก็ได้มีการทำสัญญาสงบศึกกันในเดือน มีนาคม ค.ศ. 628
เรียกสัญญาสงบศึกครั้งนั้นว่า สัญญาฮุดัยบียะห์
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 629 ชาวมักกะห์ได้ละเมิดสัญญาสงบศึกในเดือนมกราคม
ปี ค.ศ. 630 ท่านนบีจึงนำทหาร 10,000 คน เข้ายึดเมืองมักกะห์ ท่านจึงประกาศนิรโทษกรรมให้ชาวมักกะห์เกือบทั้งหมด ยกเว้นบางคนในจำนวนนั้นมีอัลฮะกัม แห่งตระกูลอุมัยยะห์ ที่ท่านนบีประกาศให้ทุกคน
คว่ำบาตรเขา การนิรโทษกรรมครั้งนี้ มีผลให้ชาวมักกะห์ซาบซึ้งในความเมตตาของท่าน จึงพากัน
หลั่งไหลเข้านับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก ท่านนบีมูฮัมมัดได้สิ้นชีวิต ที่เมืองมดีนะห์ เมื่อวันจันทร์
ที่ 12 ปี ค.ศ. 632 รวมอายุได้ 63 ปี
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทย
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ชนชาติเปอร์เซียและชนชาติอาหรับ ได้เดินทางมา
ทางทะเลมาทำการค้าขายกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีผู้ใดรับราชการในราชสำนักไทย
นอกจากชาวมุสลิมในท้องถิ่นภาคใต้ นับตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปจรดปลายแหลมมลายู สิงคโปร์
และมะละกา นั้น เจ้าผู้ครองนครแทบทุกเมืองเป็นชาวมุสลิมมาแต่เดิม ไม่ปรากฏว่าทางกรุงสุโขทัย
ส่งคนทางสุโขทัยไปปกครองแม้แต่คนเดียว และเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย
ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการตามกำหนด หากเมืองใดแข็งเมืองทางเมืองหลวง
จะยกกองทัพไปปราบเป็นครั้งคราวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
เจ้าพระยาบวรราชนายก ตำแหน่ง วางจางมหาดไทย นับว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม
นิกายชีอะห์เข้ามาสู่ประเทศไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก เมื่อท่านถึงแก่กรรมศพท่านฝังไว้ที่
สุสานบริเวณท่ากายี ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นต้นตระกูลอหะหมัดจุฬา
ตระกูลจุฬารัตน์ ตระกูลบุญนาค ตระกูลศรีเพ็ญ ตระกูลบุรานนท์ ตระกูลศุภมิตร ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
มีชาวเปอร์เซีย ชื่อว่า ท่านโมกอล อพยพครอบครัวและบริวารมาจากเมืองสาเลห เกาะชวากลาง
เนื่องจากถูกชาติโปรตุเกสรุกราน ท่านสะสมกำลัง สร้างป้อมค่ายที่บ้านหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา
เพราะต้องป้องกันตัวจากโจรสลัด เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองภาคใต้ได้
รายงานเรื่องนี้ให้กรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านโมกอล เป็น
ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อท่านโมกอลถึงแก่อสัญกรรมบุตรชาย คือ ท่านสุลัยมาน เป็น
ผู้สำเร็จราชการต่อมา และเมื่อเจ้าพระยากลาโหมศรสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกโดยทำการประหาร
พระเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าทรงธรรม และพระโอรสสิ้นชีวิตและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าปราสาททอง ท่านสุลัยมานจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลวง จึงไม่เห็นด้วย แล้วประกาศแข็งเมือง
14
เมื่อ พ.ศ. 2173 สถาปนาตนเป็นสุลต่าน ชื่อ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ตลอดสมัยปรับปรุงเมืองสงขลาเป็น
เมืองท่าสำคัญ มีกำลังทหารเข้มแข็งทั้งทางน้ำและทางบก กรุงศรีอยุธยาเคยยกกองทัพไปปราบ 2 ครั้ง
แต่เอาชนะไม่ได้ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ปกครองสงขลาอยู่ 46 ปี สร้างความเจริญก้าวหน้าทั้งด้าน
การค้า มีโกดังสินค้ามากมาย และการทางคมนาคม ทำให้ไม่ต้องอ้อมเรือไปยังสิงคโปร์ ทำให้ย่นระยะทาง
ได้มาก ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2211 ศพท่านฝังไว้ ณ สุสานบริเวณเขาแดง ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็น
โบราณสถานของชาติ คนทั่วไปนับถือท่านมาก เรียกท่านว่า ดาโต๊ะมะหรุ่ม หมายถึง ดาโต๊ะผู้ล่วงลับ
นั่นเอง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดำริว่า ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ควรมีกษัตริย์
องค์อื่นอีก จึงยกทัพไปปราบนครสงขลา ซึ่งสุลต่านมุตตาฟา บุตรของสุลต่านสุลัยมานชาห์ ครองอยู่
และรบชนะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงให้ท่านสุลต่านมุตตาฟา และครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไชยา
และสลายเมืองสงขลาเสีย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิได้ถือโทษสุลต่านมุตตาฟา เพราะถือว่าเป็น
ช่วงผลัดแผ่นดิน ต่อมาพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สุลต่านมุตตาฟา เป็นพระไชยา ภาษาถิ่นนามว่า ยา มี
ตำแหน่งเป็น “พระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม”ที่ไชยา เกิดเป็นหมู่บ้างสงขลา มีการปักหลักประตูเมือง
เรียกว่า เสาประโคน อยู่กลางเมืองเป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้ ส่วนน้องชายของพระชายา คือ
ท่านหะซันและท่านรูเซ็น โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบุตรชายคนโต คือ เตาฟิค
ท่านหะซัน ชำนาญการเดินเรือและทหารเรือ จึงโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาราชบังสัน ว่าที่แม่ทัพเรือ
ของกรุงศรีอยุธยา และตำแหน่งนี้ได้สืบทอดต่อเนื่องในสายสกุลของท่าน นับว่าโชคดีของประเทศไทย
ที่ตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ นับถือศาสนาอิสลามไม่ขาดสาย
เช่น ตำแหน่งลักษมณา เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า นายพลเรือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุง-
รัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนาอิสลาม นิกายซุนหนี่และนิกายชีอะห์ในประเทศไทย
อยู่รวมกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา นิกายซุนหนี่นั้นมีมาแต่เดิมในแผ่นดิน
สุวรรณภูมิ ส่วนนิกายชีอะห์นั้นได้เข้ามาพร้อมกับท่านเฉกอะหมัด สมัยพระเจ้าทรงธรรม ทั้งสองนิกายนี้
ผูกมิตรกันโดยมีการแต่งงานระหว่างกัน
หัวเมืองชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของไทยครอบคลุมถึงหลายหัวเมือง
ในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ส่วนดินแดนในเขตประเทศไทย
ปัจจุบันมีปัตตานี เป็นเมืองใหญ่ ครอบคลุมไปถึงยะลา นราธิวาส สตูล ตกอยู่ในประเทศราชของไทย
ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด บางครั้งเมื่อมีการผลัด
แผ่นดินโดยการปราบดาภิเษก เจ้าเมืองเหล่านั้นมักถือโอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระบ่อยครั้ง ทาง
กรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบ เมื่อปราบแล้วได้กวาดต้อนคนมากรุงศรีอยุธยาด้วย เช่น ที่ตำบล
คลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีจำนวนมาก ส่วนชาวมุสลิม
15
แขกเทศหรือแขกแพ เชื้อสายเปอร์เซียหรืออาหรับ มีภูมิลำเนาอยู่แถบหัวแหลม หรือท่ากายี เป็นชาว-
มุสลิมชีอะห์ เชื้อสายเปอร์เซีย
ในปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทย สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยพุทธได้โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ๆ
ร่วมกัน คือ การติดต่อค้าขาย การศึกษารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับปรากฏข้อความสำคัญ คือ
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา แต่ในปัจจุบันมีปัญหาที่ 3 จังหวัดภาคใต้
คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความแตกต่างทางศาสนา แต่เกิดจากคนบางกลุ่ม
ยังไม่เข้าใจกันดีเพียงพอ จึงเกิดการปะทะกัน และรัฐบาลไทยทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยตลอด
ในปี พ.ศ. 1847 - 1921 อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวโมร็อกโกเชื้อสายอาหรับ ทำการเผยแพร่ศาสนา
อิสลาม นิกายซุนหนี่ ขึ้นทางเกาะสุมาตราตะวันตกเฉียงเหนือ โดยทำให้ราชาซอและห์ยอมรับนับถือ
ศาสนาอิสลาม เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีบทบัญญัติทั้งทางโลกทางธรรมมีหลักวิชาเศรษฐศาสตร์
นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมือง การสังคม การอาชีพ การค้าขาย การแพทย์การเป็นหนี้สิน
การบริโภคอาหาร การสมรส การหย่าร้าง การครองเรือน การแบ่งมรดก การศึกษาการทูต
การสงคราม และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เมื่อมีพระราชาศรัทธาในศาสนาจึง
เผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในหมู่พสกนิกรและจัดระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การสมรส
การครองเรือน ตามพระราชบัญญัติพระคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชาธิบดี เปลี่ยนจากราชาซอและห์
มาเป็น สุลต่านซอและห์ ที่เข้มแข็งและเด็ดขาด และจากนั้นศาสนาอิสลามเผยแผ่ไปยังรัฐใกล้เคียง
จนกลายเป็นรัฐอิสลาม และขยายขึ้นมาจากตอนเหนือของมลายูเข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย และ
ปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช นับถือ
ศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา
ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด - เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ
ในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามในอาระเบีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้
มาถึงฝั่งมะละกา เมื่อมาร์โคโปโลเดินทางเรือผ่านชวาเขาเขียนว่า ผู้คนตามเมืองท่าเป็นมุสลิมทั้งสิ้น
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทย
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ชนชาติเปอร์เซียและชนชาติอาหรับ ได้เดินทางมา
ทางทะเลมาทำการค้าขายกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีผู้ใดรับราชการในราชสำนักไทย
นอกจากชาวมุสลิมในท้องถิ่นภาคใต้ นับตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปจรดปลายแหลมมลายู สิงคโปร์
และมะละกา นั้น เจ้าผู้ครองนครแทบทุกเมืองเป็นชาวมุสลิมมาแต่เดิม ไม่ปรากฏว่าทางกรุงสุโขทัย
ส่งคนทางสุโขทัยไปปกครองแม้แต่คนเดียว และเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัยต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการตามกำหนด หากเมืองใดแข็งเมืองทางเมืองหลวงจะยกกองทัพไปปราบเป็นครั้งคราวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
เจ้าพระยาบวรราชนายก ตำแหน่ง วางจางมหาดไทย นับว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม
นิกายชีอะห์เข้ามาสู่ประเทศไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก เมื่อท่านถึงแก่กรรมศพท่านฝังไว้ที่
สุสานบริเวณท่ากายี ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นต้นตระกูลอหะหมัดจุฬา
ตระกูลจุฬารัตน์ ตระกูลบุญนาค ตระกูลศรีเพ็ญ ตระกูลบุรานนท์ ตระกูลศุภมิตร ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
มีชาวเปอร์เซีย ชื่อว่า ท่านโมกอล อพยพครอบครัวและบริวารมาจากเมืองสาเลห เกาะชวากลาง
เนื่องจากถูกชาติโปรตุเกสรุกราน ท่านสะสมกำลัง สร้างป้อมค่ายที่บ้านหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา
เพราะต้องป้องกันตัวจากโจรสลัด เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองภาคใต้ได้
รายงานเรื่องนี้ให้กรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านโมกอล เป็น
ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อท่านโมกอลถึงแก่อสัญกรรมบุตรชาย คือ ท่านสุลัยมาน เป็น
ผู้สำเร็จราชการต่อมา และเมื่อเจ้าพระยากลาโหมศรสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกโดยทำการประหาร
พระเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าทรงธรรม และพระโอรสสิ้นชีวิตและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าปราสาททอง ท่านสุลัยมานจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลวง จึงไม่เห็นด้วย แล้วประกาศแข็งเมือง
เมื่อ พ.ศ. 2173 สถาปนาตนเป็นสุลต่าน ชื่อ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ตลอดสมัยปรับปรุงเมืองสงขลาเป็นเมืองท่าสำคัญ มีกำลังทหารเข้มแข็งทั้งทางน้ำและทางบก กรุงศรีอยุธยาเคยยกกองทัพไปปราบ 2 ครั้งแต่เอาชนะไม่ได้ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ปกครองสงขลาอยู่ 46 ปี สร้างความเจริญก้าวหน้าทั้งด้าน
การค้า มีโกดังสินค้ามากมาย และการทางคมนาคม ทำให้ไม่ต้องอ้อมเรือไปยังสิงคโปร์ ทำให้ย่นระยะทางได้มาก ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2211 ศพท่านฝังไว้ ณ สุสานบริเวณเขาแดง ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ คนทั่วไปนับถือท่านมาก เรียกท่านว่า ดาโต๊ะมะหรุ่ม หมายถึง ดาโต๊ะผู้ล่วงลับ
นั่นเอง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดำริว่า ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ควรมีกษัตริย์
องค์อื่นอีก จึงยกทัพไปปราบนครสงขลา ซึ่งสุลต่านมุตตาฟา บุตรของสุลต่านสุลัยมานชาห์ ครองอยู่
และรบชนะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงให้ท่านสุลต่านมุตตาฟา และครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไชยา
และสลายเมืองสงขลาเสีย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิได้ถือโทษสุลต่านมุตตาฟา เพราะถือว่าเป็น
ช่วงผลัดแผ่นดิน ต่อมาพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สุลต่านมุตตาฟา เป็นพระไชยา ภาษาถิ่นนามว่า ยา มี
ตำแหน่งเป็น “พระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม”ที่ไชยา เกิดเป็นหมู่บ้างสงขลา มีการปักหลักประตูเมือง
เรียกว่า เสาประโคน อยู่กลางเมืองเป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้ ส่วนน้องชายของพระชายา คือ
ท่านหะซันและท่านรูเซ็น โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบุตรชายคนโต คือ เตาฟิค
ท่านหะซัน ชำนาญการเดินเรือและทหารเรือ จึงโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาราชบังสัน ว่าที่แม่ทัพเรือ
ของกรุงศรีอยุธยา และตำแหน่งนี้ได้สืบทอดต่อเนื่องในสายสกุลของท่าน นับว่าโชคดีของประเทศไทย
ที่ตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ นับถือศาสนาอิสลามไม่ขาดสาย
เช่น ตำแหน่งลักษมณา เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า นายพลเรือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุง-
รัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนาอิสลาม นิกายซุนหนี่และนิกายชีอะห์ในประเทศไทย
อยู่รวมกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา นิกายซุนหนี่นั้นมีมาแต่เดิมในแผ่นดิน
สุวรรณภูมิ ส่วนนิกายชีอะห์นั้นได้เข้ามาพร้อมกับท่านเฉกอะหมัด สมัยพระเจ้าทรงธรรม ทั้งสองนิกายนี้
ผูกมิตรกันโดยมีการแต่งงานระหว่างกัน
หัวเมืองชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของไทยครอบคลุมถึงหลายหัวเมือง
ในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ส่วนดินแดนในเขตประเทศไทย
ปัจจุบันมีปัตตานี เป็นเมืองใหญ่ ครอบคลุมไปถึงยะลา นราธิวาส สตูล ตกอยู่ในประเทศราชของไทยต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด บางครั้งเมื่อมีการผลัดแผ่นดินโดยการปราบดาภิเษก เจ้าเมืองเหล่านั้นมักถือโอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระบ่อยครั้ง ทางกรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบ เมื่อปราบแล้วได้กวาดต้อนคนมากรุงศรีอยุธยาด้วย เช่น ที่ตำบลคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีจำนวนมาก ส่วนชาวมุสลิม
แขกเทศหรือแขกแพ เชื้อสายเปอร์เซียหรืออาหรับ มีภูมิลำเนาอยู่แถบหัวแหลม หรือท่ากายี เป็นชาว-
มุสลิมชีอะห์ เชื้อสายเปอร์เซีย
ในปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทย สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยพุทธได้โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ๆ
ร่วมกัน คือ การติดต่อค้าขาย การศึกษารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับปรากฏข้อความสำคัญ คือ
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา แต่ในปัจจุบันมีปัญหาที่ 3 จังหวัดภาคใต้
คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความแตกต่างทางศาสนา แต่เกิดจากคนบางกลุ่ม
ยังไม่เข้าใจกันดีเพียงพอ จึงเกิดการปะทะกัน และรัฐบาลไทยทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยตลอด
ในปี พ.ศ. 1847 - 1921 อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวโมร็อกโกเชื้อสายอาหรับ ทำการเผยแพร่ศาสนา
อิสลาม นิกายซุนหนี่ ขึ้นทางเกาะสุมาตราตะวันตกเฉียงเหนือ โดยทำให้ราชาซอและห์ยอมรับนับถือ
ศาสนาอิสลาม เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีบทบัญญัติทั้งทางโลกทางธรรมมีหลักวิชาเศรษฐศาสตร์
นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมือง การสังคม การอาชีพ การค้าขาย การแพทย์การเป็นหนี้สิน
การบริโภคอาหาร การสมรส การหย่าร้าง การครองเรือน การแบ่งมรดก การศึกษาการทูต
การสงคราม และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เมื่อมีพระราชาศรัทธาในศาสนาจึง
เผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในหมู่พสกนิกรและจัดระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การสมรส
การครองเรือน ตามพระราชบัญญัติพระคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชาธิบดี เปลี่ยนจากราชาซอและห์
มาเป็น สุลต่านซอและห์ ที่เข้มแข็งและเด็ดขาด และจากนั้นศาสนาอิสลามเผยแผ่ไปยังรัฐใกล้เคียง
จนกลายเป็นรัฐอิสลาม และขยายขึ้นมาจากตอนเหนือของมลายูเข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย และ
ปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช นับถือ
ศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา
ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด - เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ
ในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามในอาระเบีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้
มาถึงฝั่งมะละกา เมื่อมาร์โคโปโลเดินทางเรือผ่านชวาเขาเขียนว่า ผู้คนตามเมืองท่าเป็นมุสลิมทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น