1.3 ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย
ประวัติศาสดา
ศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู เกิดในชนชาติฮีบรู หรือ ยิว หรือ อิสราเอล พระเยซูคริสต์
ถือเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดในชาตินี้ เมื่อจัดศาสนาของพระเจ้า คือ พระยะโฮวาคริสต์
มีรากศัพท์มาจากภาษาโรมัน หรือ ภาษากรีก ที่แปลมาจาก คำว่า เมสสิอาห์ ในภาษาฮีบรู แปลว่า
ผู้ปลดเปลื้องทุกข์ภัย
พระเยซู เกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แขวงยูดาย กรุงเยรูซาเล็ม ในปาเลสไตน์ เมื่อ พ.ศ. 543
แต่ไปเติบโตที่ เมืองนาซาเรธ แคว้นกาลินี ห่างจากนครยูซาเล็ม ประมาณ 55 ไมล์ มารดาของพระเยซู
ชื่อมาเรีย หรือ มารีย์ บิดาชื่อ โยเซฟ อาชีพช่างไม้ ตามประวัติมาเรีย มารดาพระเยซูนั้น ตั้งครรภ์มาก่อน
ขณะที่โยเซฟ ยังเป็นคู่หมั้นมิได้อยู่กินด้วยกัน ร้อนถึงเทวทูตของพระเจ้า หรือ พระยะโฮวาห์ คือ เทวา-
คาเบรียล ต้องมาเข้าฝันบอกโยเซฟให้รู้ว่าบุตรในครรภ์ของมาเรีย เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้มีบุญมาก
ให้ตั้งชื่อว่า พระเยซู ต่อไปคนผู้นี้จะช่วยไถ่บาปให้ชาวยิวรอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง โยเซฟ ปฏิบัติ
ตามคำของทูตแห่งพระเจ้า รับมาเรียมาอยู่ด้วยกันโดยมิได้สมสู่เยี่ยงสามีภรรยา พระเยซูได้รับการ
เลี้ยงดูอย่างดี มีความรู้ภาษากรีกแตกฉาน ศึกษาพระคัมภีร์เก่า ได้มอบตัวเป็นศิษย์ของโยฮัน
ผู้แตกฉานในคัมภีร์ของยิว เมื่อเยซูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีนิสัยใฝ่สงบ ชอบอยู่ในวิเวก ใฝ่ใจทางศาสนา
เมื่ออายุได้ 30 ปี ได้รับศีลล้างบาปจากจอห์น โดยอาบน้ำล้างบาปที่แม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่นั้นมา
ถือว่า พระเยซูได้สำเร็จภูมิธรรมสูงสุดในศาสนาคริสต์ เป็นศาสดาบำเพ็ญพรต อดอาหาร เพื่อการคิด
พิจารณาธรรมอยู่ในป่าสงัด ถึง 40 วัน จากนั้นจึงออกประกาศศาสนาเผยแผ่ศาสนาอยู่ 3 ปี พระเยซู
สั่งสอนไปทั่วประเทศปาเลสไตน์ หรือ อิสราเอล ประมาณ 3 ปี มีผู้นับถือพระเยซูมากขึ้น แต่ก็ทำให้
พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และพวกฟาร์ซี เกลียดชัง ขณะที่พระเยซูพร้อมสาวก 12 คนกำลัง
รับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย ทหารโรมันก็จู่โจมเข้าจับพระเยซูและสาวกในข้อหาเป็นกบฏต่อ
ซีซ่าร์โรมัน ตั้งตนเป็นบุตรพระเจ้า เป็นพระเมสสิอาห์ ถูกตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตโดยการตรึงกับ
ไม้กางเขนไว้ 3 วัน ได้สิ้นพระชนม์และเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเยซูได้เลือกอัครสาวก 12 คนเป็นหลัก
สืบศาสนาต่อไป โดยมีนักบุญเปโตร (Saint Peter) เป็นหัวหน้า ผู้รับตำแหน่งนักบุญเปโตร ต่อ ๆ มาจนถึง
ปัจจุบัน เรียกว่า สมเด็จพระสันตะปาปา
ประเทศไทยมีศาสนาคริสต์ที่สำคัญอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโป
รเตสแตนด์ดังนี้
1. นิกายโรมันคาทอลิก คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก นับถือพระแม่มารี และนักบุญต่าง ๆ
มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงวาติกัน กรุงโรม มีพระสันตะปาปา เป็นประมุขโดยสืบทอดมาตั้งแต่
สมัยอัครสาวกกลุ่มแรก โดยถือว่า นักบุญเปโตร หรือ นักบุญปีเตอร์ คือ พระสันตะปาปา
พระองค์แรก ทรงไปสั่งสอนที่กรุงโรม ขณะนั้นเทียบได้กับนครหลวงของโลก ทรงเผยแผ่
คำสอนอยู่ 25 ปี ทำให้กรุงโรมเป็นศูนย์กลางของศาสนา จึงเกิดคำว่า โรมันคาทอลิก
พระองค์ได้รับการยินยอมจากพระเจ้าให้ปกครองศาสนจักรทั้งมวลและสืบทอดมาถึง
พระสันตะปาปาเบนนิดิก ที่ 16 องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 265 คาทอลิกนั้นจะมีนักบวช
ที่เรียกว่า บาทหลวง และซีสเตอร์ (แม่ชี) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า “คริสตรัง”
ตามเสียงอ่านภาษาโปรตุเกส ผู้เผยแพร่ยุคแรก ๆ มีผู้นับถือนิกายนี้ประมาณ 1,000 ล้านคน
นิกายนี้ถือว่า พระ (บาทหลวง) เป็นสื่อกลางของพระเจ้า
2. นิกายโปรเตสแตนต์ แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
เป็นนิกายที่ถือว่า ศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อพระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อย
ออกเป็นหลายร้อยนิกาย เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์และการ
ปฏิบัติในพิธีกรรม นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขน เป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาเท่านั้น มีผู้นับถือ
รวมกันทุกนิกายย่อยประมาณ 500 ล้านคน
การเผยแผ่นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย
คริสต์ศาสนาที่เผยแผ่ในไทยเป็นครั้งแรกตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จ
พระมหาธรรมราชา ประมาณ พ.ศ. 2127 (ค.ศ. 1584) โดยนิกายแรกที่มาเผยแพร่ คือ นิกายโรมัน-
คาทอลิก ซึ่งมีทั้งคณะโดมินิกัน (Dominican) คณะฟรังซิสกัน (Franciscan) และคณะเยซูอิต (Jesuit)
บาทหลวงส่วนมากมาจากโปรตุเกสและสเปน โดยเดินทางมาพร้อมกับทหารและพ่อค้า
ระยะแรกที่ยังถูกปิดกั้นทางศาสนา มิชชันนารี จึงเน้นการดูแลกลุ่มคนชาติเดียวกัน กระทั่ง
รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประเทศไทยได้มีสัมพันธภาพอันดีกับฝรั่งเศส ตรงกับรัชสมัย
พระเจ้าหลุยส์ที่ 4 ทำให้มีจำนวนบาทหลวงเข้ามาเผยแผ่ศาสนามากขึ้น และการแสดงบทบาททาง
สังคมมากขึ้นบ้างก็อยู่จนแก่หรือตลอดชีวิตก็มี
ด้านสังคมสงเคราะห์ มีการจัดตั้งโรงพยาบาล ด้านศาสนา มีการตั้งโรงเรียนสำหรับสามเณร
คริสเตียน เพื่อผลิตนักบวชพื้นเมือง และมีการโปรดศีลบวชให้นักบวชไทยรุ่นแรก และจัดตั้ง คณะภคิณี
คณะรักไม้กางเขน
เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว คริสต์ศาสนากลับไม่ได้รับความสะดวกใน
การเผยแผ่ศาสนาเช่นเดิม เพราะถูกจำกัดขอบเขต ถูกห้ามประกาศศาสนา ถูกห้ามเขียนหนังสือ
ศาสนาเป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ประกอบกับพม่าเข้ามารุกรานประเทศไทย บาทหลวงถูกย่ำยี
โบสถ์ถูกทำลาย มิชชันนารีทั้งหลายรีบหนีออกนอกประเทศ การเผยแผ่คริสต์ศาสนายุติในช่วงเสีย
เอกราชให้พม่า
กระทั่ง พระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้เอกราชสำเร็จ แม้การเผยแผ่คริสต์ศาสนาเริ่มต้นขึ้นใหม่
แต่เพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ จึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์จักรีแล้ว ชาวคริสต์อพยพเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเปิดเสรีการนับถือศาสนาและทรงประกาศ
พระราชกฤษฎีกาให้ทุกคนมีสิทธิในการนับถือศาสนาใดก็ได้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับ
ฝรั่งเศสไม่ดีนัก แต่พระองค์ก็ทรงรับรองมิสซังโรมันคาทอลิก เป็นนิติบุคคล
ด้านสังคมสงเคราะห์ ในรัชสมัยนี้ทรงพระราชทานเงินทุนในการก่อสร้างโรงเรียน เกิดโรงเรียน
อัสสัมชัญ ใน พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) ภายหลังเกิดโรงเรียนอีกหลายแห่ง เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญ-
คอนแวนต์ โรงเรียนเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์ และโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
การเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย
คณะเผยแพร่ของนิกายโปรเตสแตนต์ กลุ่มแรกที่เข้ามาประเทศไทยตามหลักฐานที่ปรากฏ
คือ ศิษยาภิบาล 2 ท่าน ศาสนาจารย์คาร์ล ออกัสตัส เฟรดเดอริค กุตสลาฟ เอ็ม.ดี (Rev. Carl Friedrich
Augustus Gutzlaff) ชาวเยอรมันจากสมาคมเนเธอร์แลนด์มิชชันนารี (Netherlands Missionary
Society) และศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน (Rev.Jacob Tomlin) ชาวอังกฤษ จากสมาคมลอนดอน
มิชชันนารี (London Missionary Society) มาถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2371
(ค.ศ. 1828) ทั้งสองท่านช่วยกันเผยแพร่ศาสนาด้วยความเข้มแข็ง
ต่อมาจึงมีศาสนาจารย์จากคณะอเมริกันบอร์ด (The American Board of Commissioners
for Foreign Missions หรือ A.B.C.F.M.) เข้ามา
ในบรรดานักเผยแพร่ศาสนานั้น ผู้ที่มีชื่อเสียง คือ หมอสอนศาสนา แดน บีช บรัดเลย์ เอ็ม ดี
(Rev. Dan Beach Bradley,M.D.) หรือ หมอบรัดเลย์ (คนไทยมักเรียกว่า หมอบลัดเล) ซึ่งเป็นเพรส-
ไบทีเรียน ในคณะอเมริกันบอร์ด เข้ามากรุงเทพฯ (ขณะนั้นเรียกว่า บางกอก) พร้อมภรรยา เมื่อวันที่
18 กรกฎาคม พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835)
ตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในประเทศไทยได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทาง
การแพทย์และการพิมพ์ ทั้งรักษาผู้ป่วยไข้ทรพิษและอหิวาตกโรค นำการผ่าตัดเข้ามาครั้งแรก
การทดลองปลูกฝีดาษในประเทศไทย ริเริ่มการสร้างโรงพิมพ์ เริ่มจากจัดพิมพ์ใบประกาศห้ามค้าฝิ่น
และจัดพิมพ์หนังสือ “บางกอกกาลันเดอร์” ซึ่งเป็นจดหมายเหตุรายวัน กล่าวได้ว่า ความเชื่อมั่นของ
ชาวไทยต่อการเผยแผ่คริสต์ศาสนา เกิดจากคณะสมาคมอเมริกันมิชชันนารี นำความเจริญเข้ามา
ควบคู่ไปกับการเผยแผ่ศาสนา
มิชชันนารีที่สำคัญอีก 2 กลุ่ม ได้แก่ คณะอเมริกันแบ็พติสมิชชัน (The Americam Baptist
Mission) เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรโปรเตสแตนต์แห่งแรกในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณกลาง ปี พ.ศ. 2380
(ค.ศ. 1837) และจัดพิมพ์หนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งออกหนังสือพิมพ์ “สยามสมัย”
คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน บอร์ด (The American Presbyterian Board) เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่นำความเจริญสู่ประเทศไทย เช่น ดร.เฮ้าส์ (Samuel R. House) นำการใช้อีเทอร์เป็นยาสลบครั้งแรก
ในประเทศไทย ขณะที่ศาสนาจารย์แมตตูน และภรรยา (Rev. and Mrs. Stephen Mattoon
ริเริ่มเปิดโรงเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งต่อมาได้รวมกับโรงเรียนประจำของมิชชันและพัฒนาต่อมา
เป็น โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น