1.3 ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย
ประวัติศาสดา
ศาสดาของศาสนาคริสต์ คือ พระเยซู เกิดในชนชาติฮีบรู หรือ ยิว หรือ อิสราเอล พระเยซูคริสต์
ถือเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดในชาตินี้ เมื่อจัดศาสนาของพระเจ้า คือ พระยะโฮวาคริสต์
มีรากศัพท์มาจากภาษาโรมัน หรือ ภาษากรีก ที่แปลมาจาก คำว่า เมสสิอาห์ ในภาษาฮีบรู แปลว่า
ผู้ปลดเปลื้องทุกข์ภัย
พระเยซู เกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แขวงยูดาย กรุงเยรูซาเล็ม ในปาเลสไตน์ เมื่อ พ.ศ. 543
แต่ไปเติบโตที่ เมืองนาซาเรธ แคว้นกาลินี ห่างจากนครยูซาเล็ม ประมาณ 55 ไมล์ มารดาของพระเยซู
ชื่อมาเรีย หรือ มารีย์ บิดาชื่อ โยเซฟ อาชีพช่างไม้ ตามประวัติมาเรีย มารดาพระเยซูนั้น ตั้งครรภ์มาก่อน
ขณะที่โยเซฟ ยังเป็นคู่หมั้นมิได้อยู่กินด้วยกัน ร้อนถึงเทวทูตของพระเจ้า หรือ พระยะโฮวาห์ คือ เทวา-
คาเบรียล ต้องมาเข้าฝันบอกโยเซฟให้รู้ว่าบุตรในครรภ์ของมาเรีย เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้มีบุญมาก
ให้ตั้งชื่อว่า พระเยซู ต่อไปคนผู้นี้จะช่วยไถ่บาปให้ชาวยิวรอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง โยเซฟ ปฏิบัติ
ตามคำของทูตแห่งพระเจ้า รับมาเรียมาอยู่ด้วยกันโดยมิได้สมสู่เยี่ยงสามีภรรยา พระเยซูได้รับการ
เลี้ยงดูอย่างดี มีความรู้ภาษากรีกแตกฉาน ศึกษาพระคัมภีร์เก่า ได้มอบตัวเป็นศิษย์ของโยฮัน
ผู้แตกฉานในคัมภีร์ของยิว เมื่อเยซูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีนิสัยใฝ่สงบ ชอบอยู่ในวิเวก ใฝ่ใจทางศาสนา
เมื่ออายุได้ 30 ปี ได้รับศีลล้างบาปจากจอห์น โดยอาบน้ำล้างบาปที่แม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่นั้นมา
ถือว่า พระเยซูได้สำเร็จภูมิธรรมสูงสุดในศาสนาคริสต์ เป็นศาสดาบำเพ็ญพรต อดอาหาร เพื่อการคิด
พิจารณาธรรมอยู่ในป่าสงัด ถึง 40 วัน จากนั้นจึงออกประกาศศาสนาเผยแผ่ศาสนาอยู่ 3 ปี พระเยซู
สั่งสอนไปทั่วประเทศปาเลสไตน์ หรือ อิสราเอล ประมาณ 3 ปี มีผู้นับถือพระเยซูมากขึ้น แต่ก็ทำให้
พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และพวกฟาร์ซี เกลียดชัง ขณะที่พระเยซูพร้อมสาวก 12 คนกำลัง
รับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย ทหารโรมันก็จู่โจมเข้าจับพระเยซูและสาวกในข้อหาเป็นกบฏต่อ
ซีซ่าร์โรมัน ตั้งตนเป็นบุตรพระเจ้า เป็นพระเมสสิอาห์ ถูกตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตโดยการตรึงกับ
ไม้กางเขนไว้ 3 วัน ได้สิ้นพระชนม์และเสด็จไปสู่สวรรค์ พระเยซูได้เลือกอัครสาวก 12 คนเป็นหลัก
สืบศาสนาต่อไป โดยมีนักบุญเปโตร (Saint Peter) เป็นหัวหน้า ผู้รับตำแหน่งนักบุญเปโตร ต่อ ๆ มาจนถึง
ปัจจุบัน เรียกว่า สมเด็จพระสันตะปาปา
ประเทศไทยมีศาสนาคริสต์ที่สำคัญอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโป
รเตสแตนด์ดังนี้
1. นิกายโรมันคาทอลิก คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก นับถือพระแม่มารี และนักบุญต่าง ๆ
มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงวาติกัน กรุงโรม มีพระสันตะปาปา เป็นประมุขโดยสืบทอดมาตั้งแต่
สมัยอัครสาวกกลุ่มแรก โดยถือว่า นักบุญเปโตร หรือ นักบุญปีเตอร์ คือ พระสันตะปาปา
พระองค์แรก ทรงไปสั่งสอนที่กรุงโรม ขณะนั้นเทียบได้กับนครหลวงของโลก ทรงเผยแผ่
คำสอนอยู่ 25 ปี ทำให้กรุงโรมเป็นศูนย์กลางของศาสนา จึงเกิดคำว่า โรมันคาทอลิก
พระองค์ได้รับการยินยอมจากพระเจ้าให้ปกครองศาสนจักรทั้งมวลและสืบทอดมาถึง
พระสันตะปาปาเบนนิดิก ที่ 16 องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 265 คาทอลิกนั้นจะมีนักบวช
ที่เรียกว่า บาทหลวง และซีสเตอร์ (แม่ชี) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า “คริสตรัง”
ตามเสียงอ่านภาษาโปรตุเกส ผู้เผยแพร่ยุคแรก ๆ มีผู้นับถือนิกายนี้ประมาณ 1,000 ล้านคน
นิกายนี้ถือว่า พระ (บาทหลวง) เป็นสื่อกลางของพระเจ้า
2. นิกายโปรเตสแตนต์ แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
เป็นนิกายที่ถือว่า ศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อพระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อย
ออกเป็นหลายร้อยนิกาย เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์และการ
ปฏิบัติในพิธีกรรม นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขน เป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาเท่านั้น มีผู้นับถือ
รวมกันทุกนิกายย่อยประมาณ 500 ล้านคน
การเผยแผ่นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย
คริสต์ศาสนาที่เผยแผ่ในไทยเป็นครั้งแรกตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จ
พระมหาธรรมราชา ประมาณ พ.ศ. 2127 (ค.ศ. 1584) โดยนิกายแรกที่มาเผยแพร่ คือ นิกายโรมัน-
คาทอลิก ซึ่งมีทั้งคณะโดมินิกัน (Dominican) คณะฟรังซิสกัน (Franciscan) และคณะเยซูอิต (Jesuit)
บาทหลวงส่วนมากมาจากโปรตุเกสและสเปน โดยเดินทางมาพร้อมกับทหารและพ่อค้า
ระยะแรกที่ยังถูกปิดกั้นทางศาสนา มิชชันนารี จึงเน้นการดูแลกลุ่มคนชาติเดียวกัน กระทั่ง
รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประเทศไทยได้มีสัมพันธภาพอันดีกับฝรั่งเศส ตรงกับรัชสมัย
พระเจ้าหลุยส์ที่ 4 ทำให้มีจำนวนบาทหลวงเข้ามาเผยแผ่ศาสนามากขึ้น และการแสดงบทบาททาง
สังคมมากขึ้นบ้างก็อยู่จนแก่หรือตลอดชีวิตก็มี
ด้านสังคมสงเคราะห์ มีการจัดตั้งโรงพยาบาล ด้านศาสนา มีการตั้งโรงเรียนสำหรับสามเณร
คริสเตียน เพื่อผลิตนักบวชพื้นเมือง และมีการโปรดศีลบวชให้นักบวชไทยรุ่นแรก และจัดตั้ง คณะภคิณี
คณะรักไม้กางเขน
เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว คริสต์ศาสนากลับไม่ได้รับความสะดวกใน
การเผยแผ่ศาสนาเช่นเดิม เพราะถูกจำกัดขอบเขต ถูกห้ามประกาศศาสนา ถูกห้ามเขียนหนังสือ
ศาสนาเป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ประกอบกับพม่าเข้ามารุกรานประเทศไทย บาทหลวงถูกย่ำยี
โบสถ์ถูกทำลาย มิชชันนารีทั้งหลายรีบหนีออกนอกประเทศ การเผยแผ่คริสต์ศาสนายุติในช่วงเสีย
เอกราชให้พม่า
กระทั่ง พระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้เอกราชสำเร็จ แม้การเผยแผ่คริสต์ศาสนาเริ่มต้นขึ้นใหม่
แต่เพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ จึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์จักรีแล้ว ชาวคริสต์อพยพเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเปิดเสรีการนับถือศาสนาและทรงประกาศ
พระราชกฤษฎีกาให้ทุกคนมีสิทธิในการนับถือศาสนาใดก็ได้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับ
ฝรั่งเศสไม่ดีนัก แต่พระองค์ก็ทรงรับรองมิสซังโรมันคาทอลิก เป็นนิติบุคคล
ด้านสังคมสงเคราะห์ ในรัชสมัยนี้ทรงพระราชทานเงินทุนในการก่อสร้างโรงเรียน เกิดโรงเรียน
อัสสัมชัญ ใน พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) ภายหลังเกิดโรงเรียนอีกหลายแห่ง เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญ-
คอนแวนต์ โรงเรียนเซ็นต์ฟรังซิสซาเวียร์ และโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
การเผยแพร่คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย
คณะเผยแพร่ของนิกายโปรเตสแตนต์ กลุ่มแรกที่เข้ามาประเทศไทยตามหลักฐานที่ปรากฏ
คือ ศิษยาภิบาล 2 ท่าน ศาสนาจารย์คาร์ล ออกัสตัส เฟรดเดอริค กุตสลาฟ เอ็ม.ดี (Rev. Carl Friedrich
Augustus Gutzlaff) ชาวเยอรมันจากสมาคมเนเธอร์แลนด์มิชชันนารี (Netherlands Missionary
Society) และศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน (Rev.Jacob Tomlin) ชาวอังกฤษ จากสมาคมลอนดอน
มิชชันนารี (London Missionary Society) มาถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2371
(ค.ศ. 1828) ทั้งสองท่านช่วยกันเผยแพร่ศาสนาด้วยความเข้มแข็ง
ต่อมาจึงมีศาสนาจารย์จากคณะอเมริกันบอร์ด (The American Board of Commissioners
for Foreign Missions หรือ A.B.C.F.M.) เข้ามา
ในบรรดานักเผยแพร่ศาสนานั้น ผู้ที่มีชื่อเสียง คือ หมอสอนศาสนา แดน บีช บรัดเลย์ เอ็ม ดี
(Rev. Dan Beach Bradley,M.D.) หรือ หมอบรัดเลย์ (คนไทยมักเรียกว่า หมอบลัดเล) ซึ่งเป็นเพรส-
ไบทีเรียน ในคณะอเมริกันบอร์ด เข้ามากรุงเทพฯ (ขณะนั้นเรียกว่า บางกอก) พร้อมภรรยา เมื่อวันที่
18 กรกฎาคม พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835)
ตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในประเทศไทยได้สร้างคุณประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทาง
การแพทย์และการพิมพ์ ทั้งรักษาผู้ป่วยไข้ทรพิษและอหิวาตกโรค นำการผ่าตัดเข้ามาครั้งแรก
การทดลองปลูกฝีดาษในประเทศไทย ริเริ่มการสร้างโรงพิมพ์ เริ่มจากจัดพิมพ์ใบประกาศห้ามค้าฝิ่น
และจัดพิมพ์หนังสือ “บางกอกกาลันเดอร์” ซึ่งเป็นจดหมายเหตุรายวัน กล่าวได้ว่า ความเชื่อมั่นของ
ชาวไทยต่อการเผยแผ่คริสต์ศาสนา เกิดจากคณะสมาคมอเมริกันมิชชันนารี นำความเจริญเข้ามา
ควบคู่ไปกับการเผยแผ่ศาสนา
มิชชันนารีที่สำคัญอีก 2 กลุ่ม ได้แก่ คณะอเมริกันแบ็พติสมิชชัน (The Americam Baptist
Mission) เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรโปรเตสแตนต์แห่งแรกในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณกลาง ปี พ.ศ. 2380
(ค.ศ. 1837) และจัดพิมพ์หนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งออกหนังสือพิมพ์ “สยามสมัย”
คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน บอร์ด (The American Presbyterian Board) เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่นำความเจริญสู่ประเทศไทย เช่น ดร.เฮ้าส์ (Samuel R. House) นำการใช้อีเทอร์เป็นยาสลบครั้งแรก
ในประเทศไทย ขณะที่ศาสนาจารย์แมตตูน และภรรยา (Rev. and Mrs. Stephen Mattoon
ริเริ่มเปิดโรงเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งต่อมาได้รวมกับโรงเรียนประจำของมิชชันและพัฒนาต่อมา
เป็น โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ในปัจจุบัน
วิชา ศาสนาและหน้าที่พลเมือง (สค21002)
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กศน.อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เรื่องที่ 1.2 ศาสนาอิสลามในประเทศไทย
1.2 ศาสนาอิสลามในประเทศไทย
ประวัติศาสดา
ศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ ท่านนบีมุฮัมมัด เป็นบุตรของอับดุลลอห์แห่งอารเบีย
ท่านได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาสน์ของอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดานบีมุฮัมมัด เกิดที่มหานครมักกะห์ (เมกกะ) ตรงกับวันจันทร์ที่ 17 (บ้างก็ว่า 12)
เดือน รอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ค.ศ. 570 (พ.ศ. 1113) ในตอนแรกเกิดกายของมุฮัมมัด มีรัศมีสว่างไสวและ
มีกลิ่นหอมเป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อุปราชอับรอฮะห์ แห่ง
อาณาจักรอักซุม (เอธิโอเปียปัจจุบัน) กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะฮ์ เพื่อทำลายกะอ์บะฮ์
อันศักดิ์สิทธิ์ แต่อัลลอฮ์ได้ทรงพิทักษ์มักกะฮ์ด้วยการส่งกองทัพนกที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งบนกองทัพนี้
จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุดุจเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน อุปราชอับรอฮะห์
จึงต้องถอยทัพกลับไปและเสียชีวิตไปในที่สุด
ในปีเดียวกันนั้นมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้พระราชวังอะนูชิรวานของ
จักรพรรดิเปอร์เชียสั่นสะเทือนถึงรากเหง้าและพังทลายลง ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของ
พวกโซโรอัสเตอร์ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไปด้วย
เมื่อมูฮัมมัดมี อายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรมและความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหู
ของเคาะดีญะฮ์ บินติคุวัยลิค เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้
ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรีย ในฐานะหัวหน้ากองคาราวานปรากฏผลว่า การค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจในความสามารถและความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูลอัน เป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือประกอบแต่กุศลกรรมปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับวิวรณ์จากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าในถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง
นอกเมืองมักกะฮ์ โดยทูตสวรรค์ญิบรีล เป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรกเรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็น
ผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮ์ ดั่งที่ศาสดามูซา (โมเสส) อีซา (เยซู) เคยทำมา นั่นคือ ประกาศให้มวล
มนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการ
เหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่ม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน
ในตอนแรกท่านเผยแผ่ศาสนาแก่วงศ์ญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นภายในก่อน ท่านค็อดีญะห์เองได้
สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่านอบูฎอลิบก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต
ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแผ่ศาสนาโดยเปิดเผย ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูล
เดียวกันชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่านพากันโกรธแค้นตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่าง
รุนแรงถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับ
ผู้ใดจนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีเงินที่จะซื้ออาหาร อบูซุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะห์
และอบูญะฮัล คือ สองในจำนวนหัวหน้ามุชริกูนที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม
เมื่อชาวมุชริกูนเอาชนะรัฐอิสลามไม่ได้ ก็ได้มีการทำสัญญาสงบศึกกันในเดือน มีนาคม ค.ศ. 628
เรียกสัญญาสงบศึกครั้งนั้นว่า สัญญาฮุดัยบียะห์
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 629 ชาวมักกะห์ได้ละเมิดสัญญาสงบศึกในเดือนมกราคม
ปี ค.ศ. 630 ท่านนบีจึงนำทหาร 10,000 คน เข้ายึดเมืองมักกะห์ ท่านจึงประกาศนิรโทษกรรมให้ชาวมักกะห์เกือบทั้งหมด ยกเว้นบางคนในจำนวนนั้นมีอัลฮะกัม แห่งตระกูลอุมัยยะห์ ที่ท่านนบีประกาศให้ทุกคน
คว่ำบาตรเขา การนิรโทษกรรมครั้งนี้ มีผลให้ชาวมักกะห์ซาบซึ้งในความเมตตาของท่าน จึงพากัน
หลั่งไหลเข้านับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก ท่านนบีมูฮัมมัดได้สิ้นชีวิต ที่เมืองมดีนะห์ เมื่อวันจันทร์
ที่ 12 ปี ค.ศ. 632 รวมอายุได้ 63 ปี
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทย
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ชนชาติเปอร์เซียและชนชาติอาหรับ ได้เดินทางมา
ทางทะเลมาทำการค้าขายกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีผู้ใดรับราชการในราชสำนักไทย
นอกจากชาวมุสลิมในท้องถิ่นภาคใต้ นับตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปจรดปลายแหลมมลายู สิงคโปร์
และมะละกา นั้น เจ้าผู้ครองนครแทบทุกเมืองเป็นชาวมุสลิมมาแต่เดิม ไม่ปรากฏว่าทางกรุงสุโขทัย
ส่งคนทางสุโขทัยไปปกครองแม้แต่คนเดียว และเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย
ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการตามกำหนด หากเมืองใดแข็งเมืองทางเมืองหลวง
จะยกกองทัพไปปราบเป็นครั้งคราวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
เจ้าพระยาบวรราชนายก ตำแหน่ง วางจางมหาดไทย นับว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม
นิกายชีอะห์เข้ามาสู่ประเทศไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก เมื่อท่านถึงแก่กรรมศพท่านฝังไว้ที่
สุสานบริเวณท่ากายี ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นต้นตระกูลอหะหมัดจุฬา
ตระกูลจุฬารัตน์ ตระกูลบุญนาค ตระกูลศรีเพ็ญ ตระกูลบุรานนท์ ตระกูลศุภมิตร ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
มีชาวเปอร์เซีย ชื่อว่า ท่านโมกอล อพยพครอบครัวและบริวารมาจากเมืองสาเลห เกาะชวากลาง
เนื่องจากถูกชาติโปรตุเกสรุกราน ท่านสะสมกำลัง สร้างป้อมค่ายที่บ้านหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา
เพราะต้องป้องกันตัวจากโจรสลัด เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองภาคใต้ได้
รายงานเรื่องนี้ให้กรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านโมกอล เป็น
ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อท่านโมกอลถึงแก่อสัญกรรมบุตรชาย คือ ท่านสุลัยมาน เป็น
ผู้สำเร็จราชการต่อมา และเมื่อเจ้าพระยากลาโหมศรสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกโดยทำการประหาร
พระเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าทรงธรรม และพระโอรสสิ้นชีวิตและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าปราสาททอง ท่านสุลัยมานจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลวง จึงไม่เห็นด้วย แล้วประกาศแข็งเมือง
14
เมื่อ พ.ศ. 2173 สถาปนาตนเป็นสุลต่าน ชื่อ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ตลอดสมัยปรับปรุงเมืองสงขลาเป็น
เมืองท่าสำคัญ มีกำลังทหารเข้มแข็งทั้งทางน้ำและทางบก กรุงศรีอยุธยาเคยยกกองทัพไปปราบ 2 ครั้ง
แต่เอาชนะไม่ได้ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ปกครองสงขลาอยู่ 46 ปี สร้างความเจริญก้าวหน้าทั้งด้าน
การค้า มีโกดังสินค้ามากมาย และการทางคมนาคม ทำให้ไม่ต้องอ้อมเรือไปยังสิงคโปร์ ทำให้ย่นระยะทาง
ได้มาก ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2211 ศพท่านฝังไว้ ณ สุสานบริเวณเขาแดง ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็น
โบราณสถานของชาติ คนทั่วไปนับถือท่านมาก เรียกท่านว่า ดาโต๊ะมะหรุ่ม หมายถึง ดาโต๊ะผู้ล่วงลับ
นั่นเอง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดำริว่า ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ควรมีกษัตริย์
องค์อื่นอีก จึงยกทัพไปปราบนครสงขลา ซึ่งสุลต่านมุตตาฟา บุตรของสุลต่านสุลัยมานชาห์ ครองอยู่
และรบชนะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงให้ท่านสุลต่านมุตตาฟา และครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไชยา
และสลายเมืองสงขลาเสีย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิได้ถือโทษสุลต่านมุตตาฟา เพราะถือว่าเป็น
ช่วงผลัดแผ่นดิน ต่อมาพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สุลต่านมุตตาฟา เป็นพระไชยา ภาษาถิ่นนามว่า ยา มี
ตำแหน่งเป็น “พระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม”ที่ไชยา เกิดเป็นหมู่บ้างสงขลา มีการปักหลักประตูเมือง
เรียกว่า เสาประโคน อยู่กลางเมืองเป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้ ส่วนน้องชายของพระชายา คือ
ท่านหะซันและท่านรูเซ็น โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบุตรชายคนโต คือ เตาฟิค
ท่านหะซัน ชำนาญการเดินเรือและทหารเรือ จึงโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาราชบังสัน ว่าที่แม่ทัพเรือ
ของกรุงศรีอยุธยา และตำแหน่งนี้ได้สืบทอดต่อเนื่องในสายสกุลของท่าน นับว่าโชคดีของประเทศไทย
ที่ตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ นับถือศาสนาอิสลามไม่ขาดสาย
เช่น ตำแหน่งลักษมณา เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า นายพลเรือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุง-
รัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนาอิสลาม นิกายซุนหนี่และนิกายชีอะห์ในประเทศไทย
อยู่รวมกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา นิกายซุนหนี่นั้นมีมาแต่เดิมในแผ่นดิน
สุวรรณภูมิ ส่วนนิกายชีอะห์นั้นได้เข้ามาพร้อมกับท่านเฉกอะหมัด สมัยพระเจ้าทรงธรรม ทั้งสองนิกายนี้
ผูกมิตรกันโดยมีการแต่งงานระหว่างกัน
หัวเมืองชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของไทยครอบคลุมถึงหลายหัวเมือง
ในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ส่วนดินแดนในเขตประเทศไทย
ปัจจุบันมีปัตตานี เป็นเมืองใหญ่ ครอบคลุมไปถึงยะลา นราธิวาส สตูล ตกอยู่ในประเทศราชของไทย
ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด บางครั้งเมื่อมีการผลัด
แผ่นดินโดยการปราบดาภิเษก เจ้าเมืองเหล่านั้นมักถือโอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระบ่อยครั้ง ทาง
กรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบ เมื่อปราบแล้วได้กวาดต้อนคนมากรุงศรีอยุธยาด้วย เช่น ที่ตำบล
คลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีจำนวนมาก ส่วนชาวมุสลิม
15
แขกเทศหรือแขกแพ เชื้อสายเปอร์เซียหรืออาหรับ มีภูมิลำเนาอยู่แถบหัวแหลม หรือท่ากายี เป็นชาว-
มุสลิมชีอะห์ เชื้อสายเปอร์เซีย
ในปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทย สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยพุทธได้โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ๆ
ร่วมกัน คือ การติดต่อค้าขาย การศึกษารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับปรากฏข้อความสำคัญ คือ
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา แต่ในปัจจุบันมีปัญหาที่ 3 จังหวัดภาคใต้
คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความแตกต่างทางศาสนา แต่เกิดจากคนบางกลุ่ม
ยังไม่เข้าใจกันดีเพียงพอ จึงเกิดการปะทะกัน และรัฐบาลไทยทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยตลอด
ในปี พ.ศ. 1847 - 1921 อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวโมร็อกโกเชื้อสายอาหรับ ทำการเผยแพร่ศาสนา
อิสลาม นิกายซุนหนี่ ขึ้นทางเกาะสุมาตราตะวันตกเฉียงเหนือ โดยทำให้ราชาซอและห์ยอมรับนับถือ
ศาสนาอิสลาม เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีบทบัญญัติทั้งทางโลกทางธรรมมีหลักวิชาเศรษฐศาสตร์
นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมือง การสังคม การอาชีพ การค้าขาย การแพทย์การเป็นหนี้สิน
การบริโภคอาหาร การสมรส การหย่าร้าง การครองเรือน การแบ่งมรดก การศึกษาการทูต
การสงคราม และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เมื่อมีพระราชาศรัทธาในศาสนาจึง
เผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในหมู่พสกนิกรและจัดระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การสมรส
การครองเรือน ตามพระราชบัญญัติพระคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชาธิบดี เปลี่ยนจากราชาซอและห์
มาเป็น สุลต่านซอและห์ ที่เข้มแข็งและเด็ดขาด และจากนั้นศาสนาอิสลามเผยแผ่ไปยังรัฐใกล้เคียง
จนกลายเป็นรัฐอิสลาม และขยายขึ้นมาจากตอนเหนือของมลายูเข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย และ
ปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช นับถือ
ศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา
ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด - เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ
ในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามในอาระเบีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้
มาถึงฝั่งมะละกา เมื่อมาร์โคโปโลเดินทางเรือผ่านชวาเขาเขียนว่า ผู้คนตามเมืองท่าเป็นมุสลิมทั้งสิ้น
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทย
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ชนชาติเปอร์เซียและชนชาติอาหรับ ได้เดินทางมา
ทางทะเลมาทำการค้าขายกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีผู้ใดรับราชการในราชสำนักไทย
นอกจากชาวมุสลิมในท้องถิ่นภาคใต้ นับตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปจรดปลายแหลมมลายู สิงคโปร์
และมะละกา นั้น เจ้าผู้ครองนครแทบทุกเมืองเป็นชาวมุสลิมมาแต่เดิม ไม่ปรากฏว่าทางกรุงสุโขทัย
ส่งคนทางสุโขทัยไปปกครองแม้แต่คนเดียว และเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัยต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการตามกำหนด หากเมืองใดแข็งเมืองทางเมืองหลวงจะยกกองทัพไปปราบเป็นครั้งคราวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
เจ้าพระยาบวรราชนายก ตำแหน่ง วางจางมหาดไทย นับว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม
นิกายชีอะห์เข้ามาสู่ประเทศไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก เมื่อท่านถึงแก่กรรมศพท่านฝังไว้ที่
สุสานบริเวณท่ากายี ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นต้นตระกูลอหะหมัดจุฬา
ตระกูลจุฬารัตน์ ตระกูลบุญนาค ตระกูลศรีเพ็ญ ตระกูลบุรานนท์ ตระกูลศุภมิตร ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
มีชาวเปอร์เซีย ชื่อว่า ท่านโมกอล อพยพครอบครัวและบริวารมาจากเมืองสาเลห เกาะชวากลาง
เนื่องจากถูกชาติโปรตุเกสรุกราน ท่านสะสมกำลัง สร้างป้อมค่ายที่บ้านหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา
เพราะต้องป้องกันตัวจากโจรสลัด เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองภาคใต้ได้
รายงานเรื่องนี้ให้กรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านโมกอล เป็น
ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อท่านโมกอลถึงแก่อสัญกรรมบุตรชาย คือ ท่านสุลัยมาน เป็น
ผู้สำเร็จราชการต่อมา และเมื่อเจ้าพระยากลาโหมศรสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกโดยทำการประหาร
พระเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าทรงธรรม และพระโอรสสิ้นชีวิตและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าปราสาททอง ท่านสุลัยมานจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลวง จึงไม่เห็นด้วย แล้วประกาศแข็งเมือง
เมื่อ พ.ศ. 2173 สถาปนาตนเป็นสุลต่าน ชื่อ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ตลอดสมัยปรับปรุงเมืองสงขลาเป็นเมืองท่าสำคัญ มีกำลังทหารเข้มแข็งทั้งทางน้ำและทางบก กรุงศรีอยุธยาเคยยกกองทัพไปปราบ 2 ครั้งแต่เอาชนะไม่ได้ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ปกครองสงขลาอยู่ 46 ปี สร้างความเจริญก้าวหน้าทั้งด้าน
การค้า มีโกดังสินค้ามากมาย และการทางคมนาคม ทำให้ไม่ต้องอ้อมเรือไปยังสิงคโปร์ ทำให้ย่นระยะทางได้มาก ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2211 ศพท่านฝังไว้ ณ สุสานบริเวณเขาแดง ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ คนทั่วไปนับถือท่านมาก เรียกท่านว่า ดาโต๊ะมะหรุ่ม หมายถึง ดาโต๊ะผู้ล่วงลับ
นั่นเอง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดำริว่า ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ควรมีกษัตริย์
องค์อื่นอีก จึงยกทัพไปปราบนครสงขลา ซึ่งสุลต่านมุตตาฟา บุตรของสุลต่านสุลัยมานชาห์ ครองอยู่
และรบชนะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงให้ท่านสุลต่านมุตตาฟา และครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไชยา
และสลายเมืองสงขลาเสีย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิได้ถือโทษสุลต่านมุตตาฟา เพราะถือว่าเป็น
ช่วงผลัดแผ่นดิน ต่อมาพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สุลต่านมุตตาฟา เป็นพระไชยา ภาษาถิ่นนามว่า ยา มี
ตำแหน่งเป็น “พระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม”ที่ไชยา เกิดเป็นหมู่บ้างสงขลา มีการปักหลักประตูเมือง
เรียกว่า เสาประโคน อยู่กลางเมืองเป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้ ส่วนน้องชายของพระชายา คือ
ท่านหะซันและท่านรูเซ็น โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบุตรชายคนโต คือ เตาฟิค
ท่านหะซัน ชำนาญการเดินเรือและทหารเรือ จึงโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาราชบังสัน ว่าที่แม่ทัพเรือ
ของกรุงศรีอยุธยา และตำแหน่งนี้ได้สืบทอดต่อเนื่องในสายสกุลของท่าน นับว่าโชคดีของประเทศไทย
ที่ตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ นับถือศาสนาอิสลามไม่ขาดสาย
เช่น ตำแหน่งลักษมณา เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า นายพลเรือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุง-
รัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนาอิสลาม นิกายซุนหนี่และนิกายชีอะห์ในประเทศไทย
อยู่รวมกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา นิกายซุนหนี่นั้นมีมาแต่เดิมในแผ่นดิน
สุวรรณภูมิ ส่วนนิกายชีอะห์นั้นได้เข้ามาพร้อมกับท่านเฉกอะหมัด สมัยพระเจ้าทรงธรรม ทั้งสองนิกายนี้
ผูกมิตรกันโดยมีการแต่งงานระหว่างกัน
หัวเมืองชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของไทยครอบคลุมถึงหลายหัวเมือง
ในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ส่วนดินแดนในเขตประเทศไทย
ปัจจุบันมีปัตตานี เป็นเมืองใหญ่ ครอบคลุมไปถึงยะลา นราธิวาส สตูล ตกอยู่ในประเทศราชของไทยต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด บางครั้งเมื่อมีการผลัดแผ่นดินโดยการปราบดาภิเษก เจ้าเมืองเหล่านั้นมักถือโอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระบ่อยครั้ง ทางกรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบ เมื่อปราบแล้วได้กวาดต้อนคนมากรุงศรีอยุธยาด้วย เช่น ที่ตำบลคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีจำนวนมาก ส่วนชาวมุสลิม
แขกเทศหรือแขกแพ เชื้อสายเปอร์เซียหรืออาหรับ มีภูมิลำเนาอยู่แถบหัวแหลม หรือท่ากายี เป็นชาว-
มุสลิมชีอะห์ เชื้อสายเปอร์เซีย
ในปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทย สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยพุทธได้โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ๆ
ร่วมกัน คือ การติดต่อค้าขาย การศึกษารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับปรากฏข้อความสำคัญ คือ
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา แต่ในปัจจุบันมีปัญหาที่ 3 จังหวัดภาคใต้
คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความแตกต่างทางศาสนา แต่เกิดจากคนบางกลุ่ม
ยังไม่เข้าใจกันดีเพียงพอ จึงเกิดการปะทะกัน และรัฐบาลไทยทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยตลอด
ในปี พ.ศ. 1847 - 1921 อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวโมร็อกโกเชื้อสายอาหรับ ทำการเผยแพร่ศาสนา
อิสลาม นิกายซุนหนี่ ขึ้นทางเกาะสุมาตราตะวันตกเฉียงเหนือ โดยทำให้ราชาซอและห์ยอมรับนับถือ
ศาสนาอิสลาม เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีบทบัญญัติทั้งทางโลกทางธรรมมีหลักวิชาเศรษฐศาสตร์
นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมือง การสังคม การอาชีพ การค้าขาย การแพทย์การเป็นหนี้สิน
การบริโภคอาหาร การสมรส การหย่าร้าง การครองเรือน การแบ่งมรดก การศึกษาการทูต
การสงคราม และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เมื่อมีพระราชาศรัทธาในศาสนาจึง
เผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในหมู่พสกนิกรและจัดระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การสมรส
การครองเรือน ตามพระราชบัญญัติพระคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชาธิบดี เปลี่ยนจากราชาซอและห์
มาเป็น สุลต่านซอและห์ ที่เข้มแข็งและเด็ดขาด และจากนั้นศาสนาอิสลามเผยแผ่ไปยังรัฐใกล้เคียง
จนกลายเป็นรัฐอิสลาม และขยายขึ้นมาจากตอนเหนือของมลายูเข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย และ
ปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช นับถือ
ศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา
ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด - เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ
ในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามในอาระเบีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้
มาถึงฝั่งมะละกา เมื่อมาร์โคโปโลเดินทางเรือผ่านชวาเขาเขียนว่า ผู้คนตามเมืองท่าเป็นมุสลิมทั้งสิ้น
ประวัติศาสดา
ศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ ท่านนบีมุฮัมมัด เป็นบุตรของอับดุลลอห์แห่งอารเบีย
ท่านได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาสน์ของอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดานบีมุฮัมมัด เกิดที่มหานครมักกะห์ (เมกกะ) ตรงกับวันจันทร์ที่ 17 (บ้างก็ว่า 12)
เดือน รอบีอุลเอาวัล ในปีช้าง ค.ศ. 570 (พ.ศ. 1113) ในตอนแรกเกิดกายของมุฮัมมัด มีรัศมีสว่างไสวและ
มีกลิ่นหอมเป็นศุภนิมิตบ่งถึงความพิเศษของทารก ปีที่ท่านเกิดนั้นเป็นปีที่อุปราชอับรอฮะห์ แห่ง
อาณาจักรอักซุม (เอธิโอเปียปัจจุบัน) กรีฑาทัพช้างเข้าโจมตีมหานครมักกะฮ์ เพื่อทำลายกะอ์บะฮ์
อันศักดิ์สิทธิ์ แต่อัลลอฮ์ได้ทรงพิทักษ์มักกะฮ์ด้วยการส่งกองทัพนกที่คาบกรวดหินลงมาทิ้งบนกองทัพนี้
จนไพร่พลต้องล้มตายระเนระนาด เนื้อตัวทะลุดุจเหมือนใบไม้ถูกหนอนกัดกิน อุปราชอับรอฮะห์
จึงต้องถอยทัพกลับไปและเสียชีวิตไปในที่สุด
ในปีเดียวกันนั้นมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเปอร์เซีย เป็นเหตุให้พระราชวังอะนูชิรวานของ
จักรพรรดิเปอร์เชียสั่นสะเทือนถึงรากเหง้าและพังทลายลง ยังผลให้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในวิหารบูชาไฟของ
พวกโซโรอัสเตอร์ที่ลุกอยู่เป็นพันปีนั้นต้องดับลงไปด้วย
เมื่อมูฮัมมัดมี อายุได้ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรมและความสามารถในการค้าขายก็เข้าถึงหู
ของเคาะดีญะฮ์ บินติคุวัยลิค เศรษฐีนีหม้ายผู้มีเกียรติจากตระกูลอะซัดแห่งเผ่ากุเรช นางจึงเชิญให้
ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายยังประเทศซีเรีย ในฐานะหัวหน้ากองคาราวานปรากฏผลว่า การค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้นางพอใจในความสามารถและความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูลอัน เป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือประกอบแต่กุศลกรรมปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับวิวรณ์จากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าในถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง
นอกเมืองมักกะฮ์ โดยทูตสวรรค์ญิบรีล เป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรกเรียกร้องให้ท่านรับหน้าที่เป็น
ผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮ์ ดั่งที่ศาสดามูซา (โมเสส) อีซา (เยซู) เคยทำมา นั่นคือ ประกาศให้มวล
มนุษย์นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ท่านได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา 23 ปี พระโองการ
เหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่ม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน
ในตอนแรกท่านเผยแผ่ศาสนาแก่วงศ์ญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นภายในก่อน ท่านค็อดีญะห์เองได้
สละทรัพย์สินเงินทองของท่านไปมากมาย และท่านอบูฎอลิบก็ได้ปกป้องหลานชายของตนด้วยชีวิต
ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ประกาศเผยแผ่ศาสนาโดยเปิดเผย ทำให้ญาติพี่น้องในตระกูล
เดียวกันชาวกุเรชและอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่เคยนับถือท่านพากันโกรธแค้นตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอย่าง
รุนแรงถึงกับวางแผนสังหารท่านหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ชนมุสลิมถูกคว่ำบาตรไม่สามารถทำธุรกิจกับ
ผู้ใดจนต้องอดอยากเพราะขาดรายได้และไม่มีเงินที่จะซื้ออาหาร อบูซุฟยาน แห่งตระกูลอุมัยยะห์
และอบูญะฮัล คือ สองในจำนวนหัวหน้ามุชริกูนที่ได้พยายามทำลายล้างศาสนาอิสลาม
เมื่อชาวมุชริกูนเอาชนะรัฐอิสลามไม่ได้ ก็ได้มีการทำสัญญาสงบศึกกันในเดือน มีนาคม ค.ศ. 628
เรียกสัญญาสงบศึกครั้งนั้นว่า สัญญาฮุดัยบียะห์
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 629 ชาวมักกะห์ได้ละเมิดสัญญาสงบศึกในเดือนมกราคม
ปี ค.ศ. 630 ท่านนบีจึงนำทหาร 10,000 คน เข้ายึดเมืองมักกะห์ ท่านจึงประกาศนิรโทษกรรมให้ชาวมักกะห์เกือบทั้งหมด ยกเว้นบางคนในจำนวนนั้นมีอัลฮะกัม แห่งตระกูลอุมัยยะห์ ที่ท่านนบีประกาศให้ทุกคน
คว่ำบาตรเขา การนิรโทษกรรมครั้งนี้ มีผลให้ชาวมักกะห์ซาบซึ้งในความเมตตาของท่าน จึงพากัน
หลั่งไหลเข้านับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก ท่านนบีมูฮัมมัดได้สิ้นชีวิต ที่เมืองมดีนะห์ เมื่อวันจันทร์
ที่ 12 ปี ค.ศ. 632 รวมอายุได้ 63 ปี
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทย
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ชนชาติเปอร์เซียและชนชาติอาหรับ ได้เดินทางมา
ทางทะเลมาทำการค้าขายกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีผู้ใดรับราชการในราชสำนักไทย
นอกจากชาวมุสลิมในท้องถิ่นภาคใต้ นับตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปจรดปลายแหลมมลายู สิงคโปร์
และมะละกา นั้น เจ้าผู้ครองนครแทบทุกเมืองเป็นชาวมุสลิมมาแต่เดิม ไม่ปรากฏว่าทางกรุงสุโขทัย
ส่งคนทางสุโขทัยไปปกครองแม้แต่คนเดียว และเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย
ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการตามกำหนด หากเมืองใดแข็งเมืองทางเมืองหลวง
จะยกกองทัพไปปราบเป็นครั้งคราวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
เจ้าพระยาบวรราชนายก ตำแหน่ง วางจางมหาดไทย นับว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม
นิกายชีอะห์เข้ามาสู่ประเทศไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก เมื่อท่านถึงแก่กรรมศพท่านฝังไว้ที่
สุสานบริเวณท่ากายี ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นต้นตระกูลอหะหมัดจุฬา
ตระกูลจุฬารัตน์ ตระกูลบุญนาค ตระกูลศรีเพ็ญ ตระกูลบุรานนท์ ตระกูลศุภมิตร ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
มีชาวเปอร์เซีย ชื่อว่า ท่านโมกอล อพยพครอบครัวและบริวารมาจากเมืองสาเลห เกาะชวากลาง
เนื่องจากถูกชาติโปรตุเกสรุกราน ท่านสะสมกำลัง สร้างป้อมค่ายที่บ้านหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา
เพราะต้องป้องกันตัวจากโจรสลัด เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองภาคใต้ได้
รายงานเรื่องนี้ให้กรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านโมกอล เป็น
ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อท่านโมกอลถึงแก่อสัญกรรมบุตรชาย คือ ท่านสุลัยมาน เป็น
ผู้สำเร็จราชการต่อมา และเมื่อเจ้าพระยากลาโหมศรสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกโดยทำการประหาร
พระเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าทรงธรรม และพระโอรสสิ้นชีวิตและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าปราสาททอง ท่านสุลัยมานจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลวง จึงไม่เห็นด้วย แล้วประกาศแข็งเมือง
14
เมื่อ พ.ศ. 2173 สถาปนาตนเป็นสุลต่าน ชื่อ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ตลอดสมัยปรับปรุงเมืองสงขลาเป็น
เมืองท่าสำคัญ มีกำลังทหารเข้มแข็งทั้งทางน้ำและทางบก กรุงศรีอยุธยาเคยยกกองทัพไปปราบ 2 ครั้ง
แต่เอาชนะไม่ได้ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ปกครองสงขลาอยู่ 46 ปี สร้างความเจริญก้าวหน้าทั้งด้าน
การค้า มีโกดังสินค้ามากมาย และการทางคมนาคม ทำให้ไม่ต้องอ้อมเรือไปยังสิงคโปร์ ทำให้ย่นระยะทาง
ได้มาก ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2211 ศพท่านฝังไว้ ณ สุสานบริเวณเขาแดง ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็น
โบราณสถานของชาติ คนทั่วไปนับถือท่านมาก เรียกท่านว่า ดาโต๊ะมะหรุ่ม หมายถึง ดาโต๊ะผู้ล่วงลับ
นั่นเอง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดำริว่า ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ควรมีกษัตริย์
องค์อื่นอีก จึงยกทัพไปปราบนครสงขลา ซึ่งสุลต่านมุตตาฟา บุตรของสุลต่านสุลัยมานชาห์ ครองอยู่
และรบชนะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงให้ท่านสุลต่านมุตตาฟา และครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไชยา
และสลายเมืองสงขลาเสีย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิได้ถือโทษสุลต่านมุตตาฟา เพราะถือว่าเป็น
ช่วงผลัดแผ่นดิน ต่อมาพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สุลต่านมุตตาฟา เป็นพระไชยา ภาษาถิ่นนามว่า ยา มี
ตำแหน่งเป็น “พระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม”ที่ไชยา เกิดเป็นหมู่บ้างสงขลา มีการปักหลักประตูเมือง
เรียกว่า เสาประโคน อยู่กลางเมืองเป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้ ส่วนน้องชายของพระชายา คือ
ท่านหะซันและท่านรูเซ็น โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบุตรชายคนโต คือ เตาฟิค
ท่านหะซัน ชำนาญการเดินเรือและทหารเรือ จึงโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาราชบังสัน ว่าที่แม่ทัพเรือ
ของกรุงศรีอยุธยา และตำแหน่งนี้ได้สืบทอดต่อเนื่องในสายสกุลของท่าน นับว่าโชคดีของประเทศไทย
ที่ตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ นับถือศาสนาอิสลามไม่ขาดสาย
เช่น ตำแหน่งลักษมณา เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า นายพลเรือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุง-
รัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนาอิสลาม นิกายซุนหนี่และนิกายชีอะห์ในประเทศไทย
อยู่รวมกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา นิกายซุนหนี่นั้นมีมาแต่เดิมในแผ่นดิน
สุวรรณภูมิ ส่วนนิกายชีอะห์นั้นได้เข้ามาพร้อมกับท่านเฉกอะหมัด สมัยพระเจ้าทรงธรรม ทั้งสองนิกายนี้
ผูกมิตรกันโดยมีการแต่งงานระหว่างกัน
หัวเมืองชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของไทยครอบคลุมถึงหลายหัวเมือง
ในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ส่วนดินแดนในเขตประเทศไทย
ปัจจุบันมีปัตตานี เป็นเมืองใหญ่ ครอบคลุมไปถึงยะลา นราธิวาส สตูล ตกอยู่ในประเทศราชของไทย
ต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด บางครั้งเมื่อมีการผลัด
แผ่นดินโดยการปราบดาภิเษก เจ้าเมืองเหล่านั้นมักถือโอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระบ่อยครั้ง ทาง
กรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบ เมื่อปราบแล้วได้กวาดต้อนคนมากรุงศรีอยุธยาด้วย เช่น ที่ตำบล
คลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีจำนวนมาก ส่วนชาวมุสลิม
15
แขกเทศหรือแขกแพ เชื้อสายเปอร์เซียหรืออาหรับ มีภูมิลำเนาอยู่แถบหัวแหลม หรือท่ากายี เป็นชาว-
มุสลิมชีอะห์ เชื้อสายเปอร์เซีย
ในปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทย สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยพุทธได้โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ๆ
ร่วมกัน คือ การติดต่อค้าขาย การศึกษารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับปรากฏข้อความสำคัญ คือ
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา แต่ในปัจจุบันมีปัญหาที่ 3 จังหวัดภาคใต้
คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความแตกต่างทางศาสนา แต่เกิดจากคนบางกลุ่ม
ยังไม่เข้าใจกันดีเพียงพอ จึงเกิดการปะทะกัน และรัฐบาลไทยทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยตลอด
ในปี พ.ศ. 1847 - 1921 อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวโมร็อกโกเชื้อสายอาหรับ ทำการเผยแพร่ศาสนา
อิสลาม นิกายซุนหนี่ ขึ้นทางเกาะสุมาตราตะวันตกเฉียงเหนือ โดยทำให้ราชาซอและห์ยอมรับนับถือ
ศาสนาอิสลาม เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีบทบัญญัติทั้งทางโลกทางธรรมมีหลักวิชาเศรษฐศาสตร์
นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมือง การสังคม การอาชีพ การค้าขาย การแพทย์การเป็นหนี้สิน
การบริโภคอาหาร การสมรส การหย่าร้าง การครองเรือน การแบ่งมรดก การศึกษาการทูต
การสงคราม และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เมื่อมีพระราชาศรัทธาในศาสนาจึง
เผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในหมู่พสกนิกรและจัดระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การสมรส
การครองเรือน ตามพระราชบัญญัติพระคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชาธิบดี เปลี่ยนจากราชาซอและห์
มาเป็น สุลต่านซอและห์ ที่เข้มแข็งและเด็ดขาด และจากนั้นศาสนาอิสลามเผยแผ่ไปยังรัฐใกล้เคียง
จนกลายเป็นรัฐอิสลาม และขยายขึ้นมาจากตอนเหนือของมลายูเข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย และ
ปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช นับถือ
ศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา
ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด - เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ
ในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามในอาระเบีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้
มาถึงฝั่งมะละกา เมื่อมาร์โคโปโลเดินทางเรือผ่านชวาเขาเขียนว่า ผู้คนตามเมืองท่าเป็นมุสลิมทั้งสิ้น
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทย
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ชนชาติเปอร์เซียและชนชาติอาหรับ ได้เดินทางมา
ทางทะเลมาทำการค้าขายกับเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีผู้ใดรับราชการในราชสำนักไทย
นอกจากชาวมุสลิมในท้องถิ่นภาคใต้ นับตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปจรดปลายแหลมมลายู สิงคโปร์
และมะละกา นั้น เจ้าผู้ครองนครแทบทุกเมืองเป็นชาวมุสลิมมาแต่เดิม ไม่ปรากฏว่าทางกรุงสุโขทัย
ส่งคนทางสุโขทัยไปปกครองแม้แต่คนเดียว และเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัยต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการตามกำหนด หากเมืองใดแข็งเมืองทางเมืองหลวงจะยกกองทัพไปปราบเป็นครั้งคราวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความปกติสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
เจ้าพระยาบวรราชนายก ตำแหน่ง วางจางมหาดไทย นับว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาอิสลาม
นิกายชีอะห์เข้ามาสู่ประเทศไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรก เมื่อท่านถึงแก่กรรมศพท่านฝังไว้ที่
สุสานบริเวณท่ากายี ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นต้นตระกูลอหะหมัดจุฬา
ตระกูลจุฬารัตน์ ตระกูลบุญนาค ตระกูลศรีเพ็ญ ตระกูลบุรานนท์ ตระกูลศุภมิตร ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
มีชาวเปอร์เซีย ชื่อว่า ท่านโมกอล อพยพครอบครัวและบริวารมาจากเมืองสาเลห เกาะชวากลาง
เนื่องจากถูกชาติโปรตุเกสรุกราน ท่านสะสมกำลัง สร้างป้อมค่ายที่บ้านหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา
เพราะต้องป้องกันตัวจากโจรสลัด เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองภาคใต้ได้
รายงานเรื่องนี้ให้กรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง พระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านโมกอล เป็น
ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา เมื่อท่านโมกอลถึงแก่อสัญกรรมบุตรชาย คือ ท่านสุลัยมาน เป็น
ผู้สำเร็จราชการต่อมา และเมื่อเจ้าพระยากลาโหมศรสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกโดยทำการประหาร
พระเชษฐาธิราช คือ พระเจ้าทรงธรรม และพระโอรสสิ้นชีวิตและสถาปนาตนเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
พระเจ้าปราสาททอง ท่านสุลัยมานจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลวง จึงไม่เห็นด้วย แล้วประกาศแข็งเมือง
เมื่อ พ.ศ. 2173 สถาปนาตนเป็นสุลต่าน ชื่อ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ตลอดสมัยปรับปรุงเมืองสงขลาเป็นเมืองท่าสำคัญ มีกำลังทหารเข้มแข็งทั้งทางน้ำและทางบก กรุงศรีอยุธยาเคยยกกองทัพไปปราบ 2 ครั้งแต่เอาชนะไม่ได้ สุลต่านสุลัยมานชาห์ ปกครองสงขลาอยู่ 46 ปี สร้างความเจริญก้าวหน้าทั้งด้าน
การค้า มีโกดังสินค้ามากมาย และการทางคมนาคม ทำให้ไม่ต้องอ้อมเรือไปยังสิงคโปร์ ทำให้ย่นระยะทางได้มาก ท่านถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2211 ศพท่านฝังไว้ ณ สุสานบริเวณเขาแดง ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ คนทั่วไปนับถือท่านมาก เรียกท่านว่า ดาโต๊ะมะหรุ่ม หมายถึง ดาโต๊ะผู้ล่วงลับ
นั่นเอง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชดำริว่า ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ควรมีกษัตริย์
องค์อื่นอีก จึงยกทัพไปปราบนครสงขลา ซึ่งสุลต่านมุตตาฟา บุตรของสุลต่านสุลัยมานชาห์ ครองอยู่
และรบชนะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงให้ท่านสุลต่านมุตตาฟา และครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองไชยา
และสลายเมืองสงขลาเสีย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิได้ถือโทษสุลต่านมุตตาฟา เพราะถือว่าเป็น
ช่วงผลัดแผ่นดิน ต่อมาพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สุลต่านมุตตาฟา เป็นพระไชยา ภาษาถิ่นนามว่า ยา มี
ตำแหน่งเป็น “พระยาพิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม”ที่ไชยา เกิดเป็นหมู่บ้างสงขลา มีการปักหลักประตูเมือง
เรียกว่า เสาประโคน อยู่กลางเมืองเป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้ ส่วนน้องชายของพระชายา คือ
ท่านหะซันและท่านรูเซ็น โปรดเกล้าฯ ให้รับราชการในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับบุตรชายคนโต คือ เตาฟิค
ท่านหะซัน ชำนาญการเดินเรือและทหารเรือ จึงโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาราชบังสัน ว่าที่แม่ทัพเรือ
ของกรุงศรีอยุธยา และตำแหน่งนี้ได้สืบทอดต่อเนื่องในสายสกุลของท่าน นับว่าโชคดีของประเทศไทย
ที่ตลอดระยะเวลาของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ นับถือศาสนาอิสลามไม่ขาดสาย
เช่น ตำแหน่งลักษมณา เป็นภาษามาเลเซีย แปลว่า นายพลเรือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุง-
รัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งเฉพาะคนมุสลิมเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสนาอิสลาม นิกายซุนหนี่และนิกายชีอะห์ในประเทศไทย
อยู่รวมกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา นิกายซุนหนี่นั้นมีมาแต่เดิมในแผ่นดิน
สุวรรณภูมิ ส่วนนิกายชีอะห์นั้นได้เข้ามาพร้อมกับท่านเฉกอะหมัด สมัยพระเจ้าทรงธรรม ทั้งสองนิกายนี้
ผูกมิตรกันโดยมีการแต่งงานระหว่างกัน
หัวเมืองชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของไทยครอบคลุมถึงหลายหัวเมือง
ในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ส่วนดินแดนในเขตประเทศไทย
ปัจจุบันมีปัตตานี เป็นเมืองใหญ่ ครอบคลุมไปถึงยะลา นราธิวาส สตูล ตกอยู่ในประเทศราชของไทยต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองเป็นบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด บางครั้งเมื่อมีการผลัดแผ่นดินโดยการปราบดาภิเษก เจ้าเมืองเหล่านั้นมักถือโอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระบ่อยครั้ง ทางกรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบ เมื่อปราบแล้วได้กวาดต้อนคนมากรุงศรีอยุธยาด้วย เช่น ที่ตำบลคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชาวมุสลิมเชื้อสายปัตตานีจำนวนมาก ส่วนชาวมุสลิม
แขกเทศหรือแขกแพ เชื้อสายเปอร์เซียหรืออาหรับ มีภูมิลำเนาอยู่แถบหัวแหลม หรือท่ากายี เป็นชาว-
มุสลิมชีอะห์ เชื้อสายเปอร์เซีย
ในปัจจุบันชาวมุสลิมในประเทศไทย สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยพุทธได้โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ๆ
ร่วมกัน คือ การติดต่อค้าขาย การศึกษารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับปรากฏข้อความสำคัญ คือ
พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา แต่ในปัจจุบันมีปัญหาที่ 3 จังหวัดภาคใต้
คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความแตกต่างทางศาสนา แต่เกิดจากคนบางกลุ่ม
ยังไม่เข้าใจกันดีเพียงพอ จึงเกิดการปะทะกัน และรัฐบาลไทยทุกสมัยพยายามแก้ไขปัญหานี้โดยตลอด
ในปี พ.ศ. 1847 - 1921 อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวโมร็อกโกเชื้อสายอาหรับ ทำการเผยแพร่ศาสนา
อิสลาม นิกายซุนหนี่ ขึ้นทางเกาะสุมาตราตะวันตกเฉียงเหนือ โดยทำให้ราชาซอและห์ยอมรับนับถือ
ศาสนาอิสลาม เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีบทบัญญัติทั้งทางโลกทางธรรมมีหลักวิชาเศรษฐศาสตร์
นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การเมือง การสังคม การอาชีพ การค้าขาย การแพทย์การเป็นหนี้สิน
การบริโภคอาหาร การสมรส การหย่าร้าง การครองเรือน การแบ่งมรดก การศึกษาการทูต
การสงคราม และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เมื่อมีพระราชาศรัทธาในศาสนาจึง
เผยแผ่ศาสนาอิสลามไปในหมู่พสกนิกรและจัดระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การสมรส
การครองเรือน ตามพระราชบัญญัติพระคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชาธิบดี เปลี่ยนจากราชาซอและห์
มาเป็น สุลต่านซอและห์ ที่เข้มแข็งและเด็ดขาด และจากนั้นศาสนาอิสลามเผยแผ่ไปยังรัฐใกล้เคียง
จนกลายเป็นรัฐอิสลาม และขยายขึ้นมาจากตอนเหนือของมลายูเข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย และ
ปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช นับถือ
ศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา
ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด - เปอร์เซียน เช่นเดียวกับ
ในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากศาสนาอิสลามในอาระเบีย ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้
มาถึงฝั่งมะละกา เมื่อมาร์โคโปโลเดินทางเรือผ่านชวาเขาเขียนว่า ผู้คนตามเมืองท่าเป็นมุสลิมทั้งสิ้น
เรื่องที่ 1.1 ศาสนาพุทธในประเทศไทย
1.1 ศาสนาพุทธในประเทศไทย
พระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและ พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสด์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงศ์ สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติในวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบัน คือ ตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาล) ทั้งนี้ เป็นเพราะธรรมเนียมที่สตรีจะต้องไปคลอดบุตรที่บ้านบิดามารดาของตนพระนาง- สิริมหามายา จึงต้องเดินทางไปกรุงเทวทหะ
หลังจากประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์ ผู้เรียนไตรเพท จำนวน 108 คน เพื่อมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร พระประยูรญาติได้ พร้อมใจกันถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" มีความหมายว่า "ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตนตั้งใจจะทำ" ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์ ทั้งหมดได้ 8 คน เพื่อทำนายพระราชกุมาร พราหมณ์ 7 คนแรก ต่างก็ทำนายไว้ 2 ประการ คือ "ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก" ส่วนโกณทัญญะพราหมณ์ผู้มี อายุน้อยกว่าทุกคนได้ทำนายเพียงอย่างเดียวว่า “พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวช เป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่กิเลสในโลก" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดี- โคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะ ทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่ ขจรไกลไปยังแคว้นต่าง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญ จนหมดความสามารถของพระอาจารย์
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรง ครองเพศฆราวาส เป็นพระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญแวดล้อมด้วยความบันเทิง นานาประการแก่พระราชโอรส เพื่อผูกพระทัยให้มั่งคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้ 16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่า พระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรสจึงโปรดให้ สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตาม ฤดูกาลทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว จากนั้นทรงสู่ขอพระนางพิมพายโสธรา พระราชธิดาของ พระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงศ์ ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสวยสุขสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพายโสธรา จึงประสูติพระโอรส พระองค์มี พระราชหฤทัยสิเน่หาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรส พระองค์ตรัสว่า “ราหุลชาโตพันธนาชาต” แปลว่า “บ่วงเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว”
ถึงแม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิต คฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมีพระทัยฝักใฝ่ใคร่ครวญถึงสัจธรรมที่จะเป็นเครื่องนำทางซึ่งความพ้นทุกข์ อยู่เสมอ พระองค์ได้เคยเสด็จประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์จึงสังเวชพระทัยในชีวิตและพอพระทัยในเพศบรรพชิต มีพระทัยแน่วแน่ที่จะ ทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรม อันเป็นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสาร ไม่กลับมาเวียนว่าย ตายเกิดอีก พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ พร้อมด้วยนายฉันนะ มุ่งสู่แม่น้ำอโนมานที แคว้นมัลละ รวมระยะทาง 30 โยชน์ (ประมาณ 480 กิโลเมตร) เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำ- อโนมานที แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต และทรงมอบหมายให้นายฉันนะ นำเครื่องอาภรณ์และ ม้ากัณฐกะกลับนครกบิลพัสดุ์
การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะ ได้ทรงศึกษาในสำนักอาฬาร- ดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ได้ทรงประพฤติ พรหมจรรย์ในสำนักของอาฬารดาบสกาลามโคตร ทรงได้สมาบัติ คือ ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญ- จายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน ส่วนการประพฤติพรหมจรรย์ใน สำนักอุทกดาบสรามบุตร นั้น ทรงได้สมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน สำหรับฌานที่ 1 คือ ปฐมฌาน นั้น พระองค์ทรงได้ขณะกำลังประทับขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐานอยู่ใต้ต้นหว้า เนื่องในพระราชพิธีวัปปมงคล (แรกนาขวัญ) เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เมื่อสำเร็จการศึกษาจากทั้งสอง สำนักนี้แล้ว พระองค์ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นทุกข์บรรลุพระโพธิญาณตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จึง ทรงลาอาจารย์ทั้งสองเสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแทนการศึกษา เล่าเรียนในสำนักอาจารย์ ณ ทิวเขาดงคสิริ ใกล้ลุ่มแม่น้ำเนรัญชรา นั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา คือ การบำเพ็ญอย่างยิ่งยวดในลักษณะต่าง ๆ เช่น การอดพระกระยาหาร การทรมาน พระวรกาย โดยการกลั้นพระอัสสาสะ พระปัสสาสะ (ลมหายใจ) การกดพระทนต์ การกดพระตาลุ (เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) เป็นต้น พระมหาบุรุษได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลาถึง 6 ปี ก็ยังมิได้ ค้นพบสัจธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์จึงทรงเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้วกลับมาเสวย พระกระยาหาร เพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรงในการคิดค้นวิธีใหม่ในขณะที่พระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา นั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ พราหมณ์ทั้ง 5 คน ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหามานะ และอัสสชิ เป็นผู้คอยปฏิบัติรับใช้ด้วยหวังว่า พระมหาบุรุษตรัสรู้แล้วพวกตนจะได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้บ้าง และเมื่อพระมหาบุรุษเลิกล้มการบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ก็ได้ชวนกันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นครพาราณสี เป็นผลให้พระองค์ได้ประทับอยู่ตามลำพังในที่อันสงบเงียบปราศจากสิ่งรบกวนทั้งปวง พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติดำเนินทางสายกลาง คือการปฏิบัติในความพอเหมาะพอควร นั่นเอง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เวลารุ่งอรุณในวันเพ็ญ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช นางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาส เพื่อไปบวงสรวงเทวดาครั้นเห็นพระมหาบุรุษประทับที่โคนต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) ด้วยอาการอันสงบ นางคิดว่าเป็นเทวดาจึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสู่ท่าสุปดิษฐ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรงจับถาดทองคำขึ้นมาอธิษฐานว่า“ถ้าเราจักสามารถตรัสรู้ได้ในวันนี้ก็ขอให้ถาดทองคำใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไปไกลถึง 80 ศอก จึงจมลงตรงที่กระแสน้ำวน” ในเวลาเย็นพระองค์เสด็จกลับมายังต้นโพธิ์ที่ประทับ คนหาบหญ้า ชื่อ โสตถิยะได้ถวายปูลาดที่ประทับ ณ ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า “แม้ว่าเลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุธรรมวิเศษแล้วจะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด” เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงสำรวมจิตให้สงบแน่วแน่ มีพระสติตั้งมั่น มีพระวรกายอันสงบ มีพระหทัยแน่วแน่ เป็นสมาธิบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ปราศจากกิเลส ปราศจากความเศร้าหมอง มีความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ในวันเดียวกัน คือ วันเพ็ญ เดือน 6 เรียกว่า
วัน “วิสาขบูชา”
การเผยแผ่พุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศไทย
พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทย ประมาณปี พ.ศ. 270 หลังจากพระพุทธเจ้า
เสด็จปรินิพพาน พระเจ้าอโศกมหาราช สถาปนาศาสนาพุทธเป็นปึกแผ่น และส่งพระเถระไปเผยแผ่
พระพุทธศาสนายังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย พระเถระที่เข้ามามี 2 รูป คือ พระโสณเถระ
และพระอุตตระเถระ ซึ่งเป็นนิกายเถรวาท ขณะนั้นไทยอยู่บนดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ มีขอบเขต
ประเทศที่รวมกัน คือ ไทย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และสันนิษฐานว่าใจกลางอยู่ที่
จังหวัดนครปฐม มีหลักฐาน คือ พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบ สมัยนี้เรียกว่า
สมัยทวารวดี
- ต่อมาสมัยอาณาจักรอ้ายลาว ศาสนาพุทธนิกายมหายาน เผยแผ่มายังอาณาจักรนี้เพราะ
พระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีน ทรงรับพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในประเทศจีน และส่งฑูตมาเจริญ
สัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอ้ายลาว จึงทำให้ไทยนับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน เป็นครั้งแรกแทน
การนับถือเทวดาแบบดั้งเดิม
- ในพุทธศตวรรษที่ 13 พ.ศ. 1300 สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ในเกาะสุมาตราได้เจริญรุ่งเรือง
และนำพระพุทธศาสนาแบบมหายานเข้ามาเผยแผ่ดังมีหลักฐานที่ปรากฏอยู่ คือ พระบรมธาตุไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ในพุทธศตวรรษที่ 15 พ.ศ. 1500 อาณาจักรลพบุรีเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันอาณาจักรขอม
ก็เจริญรุ่งเรืองด้วย ในสมัยราชวงศ์สุริยวรมันเรืองอำนาจ พระองค์รับเอาพุทธศาสนาแบบมหายาน
ผสมผสานกับศาสนาพราหมณ์ และทรงสร้างศาสนาสถานเป็นพระปรางค์และปราสาท อาณาจักรลพบุรี
ของไทยรับอิทธิพลนี้มาด้วยมีภาษาสันสกฤต เป็นภาษาหลักของศาสนาพราหมณ์เข้ามามีอิทธิพลใน
ภาษาไทย วรรณคดีไทย จะเห็นสิ่งก่อสร้าง คือ พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทหินพิมาย
ที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนพระพุทธรูปได้รับอิทธิพลของขอม
เช่น ศิลปะแบบขอม
- พุทธศตวรรษที่ 16 พ.ศ. 1600 อาณาจักรพุกาม ประเทศพม่า เจริญรุ่งเรือง กษัตริย์ผู้ปกครอง
ชื่อพระเจ้าอนุรุทธิ์มหาราช กษัตริย์พุกามเรืองอำนาจ ทรงรวบรวมเอาพม่ากับมอญเข้าเป็นอาณาจักร
เดียวกัน และแผ่ขยายอาณาจักรถึงล้านนา ล้านช้าง คือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย จึงรับพระพุทธศาสนา
แบบเถรวาท หลักฐานที่ปรากฏ คือ การก่อสร้างเจดีย์แบบพม่า ซึ่งปรากฏอยู่ตามวัดต่าง ๆ
สมัยสุโขทัย เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมีอาณาจักรของไทย คือ อาณาจักรล้านนาและ
อาณาจักรสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา ซึ่งเผยแผ่ศาสนา
อยู่ที่นครศรีธรรมราช จึงนิมนต์มาที่สุโขทัย นับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาดำรงมั่นคงมาใน
ประเทศไทยสืบมาจนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยถึง 2 ครั้ง
คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัยที่ 2 คือ สมัยพระยาลิไท กษัตริย์ทุกพระองค์
ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบร่มเย็น ประชาชนอยู่ด้วยความผาสุก ศิลปะสุโขทัย มีความงดงาม
โดยเฉพาะพระพุทธรูป ไม่มีศิลปะสมัยใดงามเสมือน
- สมัยล้านนา พ.ศ. 1839 พระยามังราย ทรงสร้างราชธานีชื่อ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
ตั้งถิ่นฐานที่ลุ่มแม่น้ำปิง สนับสนุนให้พุทธศาสนารุ่งเรืองในเมืองเชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน
พะเยา ในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
สมัยกรุงศรีอยุธยา พุทธศาสนาสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เป็นอันมาก
พิธีกรรมต่าง ๆ จึงปะปนกับพิธีพราหมณ์ ประชาชนทำบุญกุศลสร้างวัดบำรุงศาสนา พระมหากษัตริย์ที่
ทรงผนวช คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และทรงริเริ่มให้เจ้านายและข้าราชการบวชเรียน ทรงรจนา
หนังสือมหาชาติคำหลวงขึ้นในปี พ.ศ. 2025 และในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ได้พบรอยพระพุทธบาท
ที่จังหวัดสระบุรี จึงโปรดให้สร้างมณฑป วรรณคดีในสมัยนี้ ได้แก่ กาพย์มหาชาติ ในสมัยพระเจ้าอยู่หัว-
บรมโกษฐ์ พ.ศ. 2275 - 2300 พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมาก พระเจ้าแผ่นดินของลังกา มีพระราชสาสน์
มาทูลเชิญพระภิกษุสงฆ์ไปเผยแผ่ศาสนาที่ลังกา เพราะศาสนาพุทธที่เรียกว่า ลังกาวงศ์ นั้น เสื่อมลง
ไทยจึงส่งพระอุบาลีไปประกาศศาสนาและเผยแผ่ศาสนาจนรุ่งเรืองอีกครั้ง และเรียกศาสนาพุทธ
ในครั้งนี้ว่า นิกายสยามวงศ์
สมัยกรุงธนบุรี ปีพ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาถูกพม่ายกทัพเข้าตีจนบ้านเมืองแตกยับเยิน วัดวา-
อารามถูกทำลายย่อยยับ พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นผู้นำในการกอบกู้อิสรภาพ ทรงตั้งเมืองหลวงที่
กรุงธนบุรี และทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและสร้างวัดเพิ่มเติมอีกมากและได้อัญเชิญพระแก้วมรกต
จากเวียงจันทน์มายังประเทศไทย
- สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
(พ.ศ. 2325 - 2352) พระองค์ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพมหานคร และทรงปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ คือ
การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
และโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 และถือเป็นครั้งที่ 2 ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน
รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. 2352 - 2367) ทรงบูรณะวัดอรุณ-
ราชวราราม วัดสุทัศนเทพวราราม และฟื้นฟูประเพณีวิสาขบูชา
รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367 - 2394) ทรงสร้าง 3 วัด คือ
วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดเทพธิดารามวรวิหาร และวัดราชนัดดารามวรวิหาร และทรงบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัด
มีจำนวนมากถึง 50 วัด พระองค์เชิดชูกำเนิดธรรมยุติกนิกาย ในปี พ.ศ. 2376 เนื่องจากพระองค์
เลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ซึ่งเป็นรูปแบบนิกายธรรมยุต มีวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็น
ศูนย์กลาง ทรงสร้างพระไตรปิฎกเป็นจำนวนมากยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394 - 2411) ทรงสร้าง
พระไตรปิฎก ปฏิสังขรณ์วัด กำเนิดการบำเพ็ญกุศลพิธีมาฆบูชา เป็นครั้งแรกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
และส่งสมณฑูตไปลังกา
- สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 - 2453) ทรงสร้าง
พระไตรปิฎกแปลจากอักษรขอมเป็นอักษรไทย ปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ ทรงตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
และสถาปนาการศึกษาสำหรับพระสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และมหา-
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่วัดมหาธาตุ
สมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2453 - 2468) ทรงประกาศใช้
พุทธศักราชทางราชการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2456 เป็นต้นมา ทรงสร้างโรงเรียนและบูรณะวัดต่าง ๆ
ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร และเทศนาเสือป่า
สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2468 - 2477) ทรงพิมพ์ระไตรปิฎก
เรียกว่า "พระไตรปิฎกสยามรัฐ" มีตราช้างเป็นเครื่องหมายเผยแพร่ ทรงประกวดหนังสือสอนพระพุทธศาสนา
สำหรับเด็ก ทรงเพิ่มหลักสูตรจริยศึกษา (อบรมให้มีศีลธรรมดีงามขึ้น) แต่เดิมมีเพียงหลักสูตรพุทธิศึกษา
(ให้มีปัญญาความรู้) และพลศึกษา (ฝึกหัดให้เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์)
- สมัยรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (พ.ศ. 2477 - 2489) มีการแปล
พระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ทรงตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เลิกการปกครองสงฆ์แบบ
มหาเถรสมาคมที่ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
- สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. 2489 - 2559) มีการ
จัดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษในปี พ.ศ. 2500 มีการสร้างพุทธมณฑลไว้ที่ตำบล ศาลายา จังหวัดนครปฐม
มีการส่งพระสงฆ์ไปเผยแผ่ศาสนาพุทธในต่างประเทศ เสด็จออกผนวชที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และ
มีโรงเรียนพุทธศาสนาในวันอาทิตย์
วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เรื่องที่ 1 ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทย
ศาสนาในประเทศไทยที่รัฐบาลให้การอุปถัมภ์ดูแล มีทั้งสิ้น 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ
ที่สำคัญ ๆ 5 ประการ คือ
1. ศาสดา หมายถึง ผู้ที่ค้นพบศาสนาและเผยแผ่คำสั่งสอนหรือหลักธรรมของศาสนา


ศาสดาของศาสนาพุทธ ศาสดาของศาสนาคริสต์
2. ศาสนธรรม หรือหลักธรรมของศาสนา เป็นคำสั่งสอนของแต่ละศาสนา
3. ศาสนิกชน หมายถึง บุคคลและปวงชนที่ให้การยอมรับนับถือในคำสั่งสอนของศาสนา
นั้น ๆ
4. ศาสนาสถาน หมายถึง สถานที่อยู่อาศัยของนักบวชใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา รวมถึงการเป็นที่ที่ให้ศาสนิกชนไปปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา
5. ศาสนพิธี หมายถึง พิธีทางศาสนาต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นจากศาสดาโดยตรงหรือจาก
การคิดค้นของผู้ปฏิบัติ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความต้องการขจัดความไม่รู้ ความกลัว
ความอัตคัด สนองความต้องการในสิ่งที่ตนขาดแคลน จึงจำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ของ
การศึกษาค้นคว้าปฏิบัติตามหลักของศาสนา
ประเทศไทยมีศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติและมีผู้นับถือจำนวนมากที่สุดในประเทศ
รองลงมา คือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนาฮินดู การศึกษาความเป็นมาของศาสนา
ดังกล่าวในประเทศไทยมีความสำคัญและจำเป็น เพราะทำให้เกิดความเข้าใจในศาสนาที่ตนนับถือและ
เพื่อร่วมศาสนาอื่น ๆ ในประเทศ อันจะส่งผลให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
เรื่องที่ 1.1 ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทย
ศาสดาผู้ที่ค้นพบศาสนาและเผยแผ่คำสั่งสอนหรือหลักธรรมของศาสนาพุทธ คือ
พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและ
พระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสด์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกำเนิดในศากยวงศ์ สกุลโคตมะ
พระองค์ประสูติในวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (เดือนวิสาขะ) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน
ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบัน คือ ตำบลรุมมินเด
ประเทศเนปาล) ทั้งนี้ เป็นเพราะธรรมเนียมที่สตรีจะต้องไปคลอดบุตรที่บ้านบิดามารดาของตนพระนาง-
สิริมหามายา จึงต้องเดินทางไปกรุงเทวทหะ
หลังจากประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญพราหมณ์
ผู้เรียนไตรเพท จำนวน 108 คน เพื่อมาทำนายพระลักษณะของพระราชกุมาร พระประยูรญาติได้
พร้อมใจกันถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" มีความหมายว่า "ผู้มีความสำเร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่ตนตั้งใจจะทำ" ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์
ทั้งหมดได้ 8 คน เพื่อทำนายพระราชกุมาร พราหมณ์ 7 คนแรก ต่างก็ทำนายไว้ 2 ประการ คือ
"ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวช
เป็นบรรพชิตจักเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก" ส่วนโกณทัญญะพราหมณ์ผู้มี
อายุน้อยกว่าทุกคนได้ทำนายเพียงอย่างเดียวว่า “พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวังผนวช
เป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่กิเลสในโลก" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ
ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดี-
โคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะ
ทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่
ขจรไกลไปยังแคว้นต่าง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญ
จนหมดความสามารถของพระอาจารย์
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาส เป็น
พระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญแวดล้อมด้วยความบันเทิง
นานาประการแก่พระราชโอรส เพื่อผูกพระทัยให้มั่งคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้
16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่า พระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรสจึงโปรดให้
สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตาม
ฤดูกาลทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว จากนั้นทรงสู่ขอพระนางพิมพายโสธรา พระราชธิดาของ
พระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงศ์ ให้อภิเษกด้วยเจ้าชายสิทธัตถะ
ประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดี-
โคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะ
ทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแผ่
ขจรไกลไปยังแคว้นต่าง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไวและเชี่ยวชาญ
จนหมดความสามารถของพระอาจารย์
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาส เป็น
พระจักรพรรดิผู้ทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสำ ราญแวดล้อมด้วยความบันเทิง
นานาประการแก่พระราชโอรส เพื่อผูกพระทัยให้มั่งคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้
16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดำริว่า พระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรสจึงโปรดให้
สร้างประสาทอันวิจิตรงดงามขึ้น 3 หลัง สำหรับให้พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสำราญตาม
ฤดูกาลทั้ง 3 คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว จากนั้นทรงสู่ขอพระนางพิมพายโสธรา พระราชธิดาของ
พระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิยวงศ์ ให้อภิเษกด้วยเจ้าชายสิทธัตถะ
ได้เสวยสุขสมบัติจนพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพายโสธรา จึงประสูติพระโอรส พระองค์ มีพระราชหฤทัยสเน่ห์หาในพระโอรสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการประสูติของพระโอรสพระองค์ตรัสว่า “ราหุลชาโตพันธนาชาต” แปลว่า “บ่วงเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว”
ถึงแม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิตวันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)